ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. ได้คาดการณ์สภาวะตลาดโลกและมุมมองการลงทุนระยะข้างหน้า โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงปลายปี หลังจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวไทย ที่ท่องเที่ยวตามฤดูกาลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงการส่งออกที่มีสัญญาณที่ดีตามการฟื้นตัวของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทยในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้ จากสถานการณ์ค่าเงินบาทเริ่มแข็งค่าขึ้น อาจเป็นปัจจัยช่วยดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติกลับเข้าตลาดหุ้นไทยหลังตั้งแต่ต้นปีนักลงทุนต่างชาติได้เทขายหุ้นไทยสุทธิ 1.7 แสนล้านบาท จึงทำให้ กบข. มีมุมมองเชิงลบต่อหุ้นไทยลดลง
นอกจากนี้ กบข. มีมุมมองเชิงบวกอย่างมีเงื่อนไขต่อหุ้นตลาดพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯจากเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง กำไรบริษัทจดทะเบียนที่ยังเติบโต ขณะที่ยุโรปมีความเสี่ยงเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย สำหรับหุ้นตลาดเกิดใหม่ กบข.มีมุมมองเป็นกลางถึงบวกเล็กน้อยจากเศรษฐกิจจีนที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ถึงแม้ยังมีความเสี่ยงจากปัญหาด้านอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่เศรษฐกิจภารัต (อินเดีย) และสาธารณรัฐไต้หวัน ยังขยายตัวได้ดี
สำหรับความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ฮามาสคาดว่าไม่ได้ขยายวงกว้าง และไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง ประกอบกับการลดกำลังการผลิตของกลุ่มประเทศโอเปคและรัสเซียไปจนถึงปลายปี ก็เป็นปัจจัยช่วยพยุงราคาน้ำมันให้เคลื่อนไหวในกรอบ 80-90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนพันธบัตรภาครัฐไทย กบข. ประเมินว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรภาครัฐไทยปรับขึ้นได้ไม่สูง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ และธนาคารแห่งประเทศไทยมีแนวโน้มจะหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้อัตราผลตอบแทนทรงตัวในระยะต่อไป
ขณะที่นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS เปิดเผยว่า ได้ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยหุ้นในช่วงไตรมาส 4/2566 ไปจนถึงไตรมาส 1/2567 ว่า ยังมีแนวโน้มแกว่งตัวในลักษณะ Sideway Up โดยมีแรงหนุนจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลดลง ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน จึงคาดการณ์กรอบดัชนีสัปดาห์นี้ที่ 1,400-1,450 จุด ขณะที่ทิศทางดัชนีในปี 2567 ทาง บล.โกลเบล็ก ให้กรอบการเคลื่อนไหวระหว่าง 1,373-1,569 จุด โดยอ้างอิง EPS ปี 2567 จาก Bloomberg Consensus ที่ 98 บาทภายใต้สมมติฐานการเติบโต GDP ปี 2567 ที่ 4.40% และอิง PE Ratio 14-16 เท่า
นอกจากนี้ ทางโกลด์แมน แซคส์ คาดว่า เศรษฐกิจโลกปี 2567 อาจเติบโตได้ดีกว่าที่คาดไว้ ภาคการผลิตจะฟื้นตัว การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะหมดไปและรายได้ที่แท้จริงเติบโตแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับ Consensus ได้ประมาณการ GDP ปี’67 เติบโตประมาณ 3-4% ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ส่วนที่อาจเติบโตดีกว่าคาดการณ์มีตัวแปรจากโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ขณะที่กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยเป้าหมายการส่งออกของไทยในปี 2567 เบื้องต้นเพิ่มขึ้น 1.99% โดยต้องรอตัวเลขการส่งออกทั้งปีของปี 2566ทั้งนี้ในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้จะยังขยายตัวเป็นบวกอย่างต่อเนื่องทำให้คาดว่าการส่งออกทั้งปีจะติดลบราวไม่เกิน 1% น้อยกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้
ส่วนปัจจัยลบที่จะมีผลกับตลาดหุ้นไทย อาทิ เศรษฐกิจจีนมีความเสี่ยงชะลอตัวจากผลกระทบของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีสัดส่วน 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจจีน และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์จากความขัดแย้งของอิสราเอล-กลุ่มฮามาส รัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งความกังวลต่อปัญหาหนี้สาธารณะต่อ GDP มีแนวโน้มสูงขึ้นจากแผนกู้เงินมาใช้ในโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ณ ปลายกันยายน 2566 ประเทศไทยมียอดหนี้สาธารณะต่อ GDP เท่ากับ 62% เทียบกับเพดานหนี้อยู่ที่ 70% และภาระหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง โดยมีปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ การประชุม กนง. ครั้งที่ 6/2566 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของปีในวันที่ 29 พ.ย.นี้ ต่อด้วย ธปท.รายงานภาวะเศรษฐกิจไทย และปัจจัยต่างประเทศ อาทิ เช้าวันที่ 22 พ.ย. คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) เปิดเผยรายงานการประชุมวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย. วันที่ 24 พ.ย. ประชุม โอเปกพลัส วันที่ 12-13 ธ.ค. กำหนดการประชุม FED ครั้งสุดท้ายของปี 2566
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี