นายยศกร ฟอลเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) เอ็กซ์สปริงหรือ XSpring AM เปิดเผยว่าปี 2566 ภาพรวมตลาดหุ้นไทยถือว่าปรับตัวลดลงมากที่สุดในภูมิภาค เพราะได้รับแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวลง ประกอบกับการมีกระแสเรื่องโปรแกรมเทรด (Robot Trade) และการขายชอร์ตที่ไม่มีการยืมหลักทรัพย์ (Naked Short) รวมถึงยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่หุ้นกู้ของบริษัทเอกชนหลายตัวมีความเสี่ยงต่อการไม่สามารถต่อสัญญา หรือ roll-over เงินลงทุน
ปัจจัยเหล่านี้จึงเข้ามากดบรรยากาศการลงทุนในตลาดทุนไทยอย่างหนัก อย่างไรก็ดีจากการปรับตัวลดลงที่ค่อนข้างมากทำให้มองว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับลดลงได้จำกัด จึงมองว่าบรรยากาศการลงทุนในปี 2567 จะค่อยๆปรับตัวดีขึ้นโดย XSpring AM ประเมินว่าภาพรวมตลาดหุ้นไทยจะเป็นลักษณะแกว่งตัวขึ้น
(Sideway up) คาดว่าดัชนีมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบ 1,400 – 1,520 จุด กลุ่มอุตสาหกรรมที่จะยังเติบโตได้ คือ กลุ่มธุรกิจภาคบริการ ภาคการท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจ Healthcare & Wellness รวมถึงกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มียอดการส่งออกที่ดีมีโอกาสเติบโตโดดเด่น
อย่างไรก็ตามมองว่าตลาดหุ้นไทยในปี 2567 จะเริ่มผ่อนคลายจากแรงกดดันต่างๆ โดยในส่วนของการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นมองว่า จะได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ เช่น นโยบายดิจิทัล วอลเล็ต ที่จะมีการอัดฉีดกระแสเงินสดเข้าระบบเศรษฐกิจ กว่า 5 แสนล้านบาท ซึ่ง น่าจะเป็นหนึ่งปัจจัยหลักที่ผลักดัน GDP เติบโตได้ในปีหน้า หากเศรษฐกิจดีขึ้นบรรยากาศของตลาดตราสารหนี้ที่เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กดดันตลาดหุ้นไทยก็จะคลี่คลายเช่นกัน
ส่วนประเด็น Naked Short สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้สร้างความมั่นใจให้นักลงทุนผ่านแถลงการณ์พร้อมทั้งเตรียมหารือถึงมาตรการคุมเข้มต่อไป คาดว่าช่วยให้บรรยากาศการลงทุนคลี่คลายขึ้น ส่วนกรณี Robot Trade ที่ส่งผลให้นักลงทุนระยะสั้นเกิดความกังวลเนื่องจากมูลค่าการซื้อขายของโปรแกรมเทรดสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มองว่าประเด็นนี้จะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้น เนื่องจากในปี 2566 ภาวะตลาดหุ้นไทยที่ซบเซา ส่งผลให้นักลงทุนรายย่อยซื้อขายน้อยลงส่งผลให้สัดส่วนของ Robot Trade หรือโปรแกรมเทรดจริงสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
“ปี 2567 ตลาดหุ้นไทยยังลงทุนได้ เนื่องจากดอกเบี้ยในไทยยังไม่สูงมาก ทำให้ส่วนต่างผลตอบแทน เมื่อเปรียบเทียบจากการลงทุนในหุ้นและพันธบัตรรัฐบาลนั้นยังคงสูงอยู่เมื่อเทียบกับหลายประเทศ ด้าน Downside Risk หรือความเสี่ยงขาลง เริ่มมีจำกัด โดยเฉพาะเมื่อช่วงดัชนี SET Index ขึ้นอยู่ที่ระดับ 1,400 จุด ขณะที่ดัชนี SETHD (Set High Dividend 30 Index) ก็มีอัตราเงินปันผลเฉลี่ยอยู่ค่อนข้างสูงประมาณ 6-7% ต่อปี สูงกว่าผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยเงินฝากในบ้านเราค่อนข้างมาก” นายยศกร กล่าว
จากปัจจัยทั้งหมดมองว่าปีหน้า กองทุนหุ้นวัฏจักรทั่วโลก (Global Cyclical Equity Fund) จะตอบโจทย์นักลงทุนได้ค่อนข้างดี เพราะเน้นการลงทุนในหุ้นที่ผลตอบแทนขึ้นกับสภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งเศรษฐกิจโลกอยู่ในทิศทางการชะลอตัวลงแต่ยังแข็งแกร่ง พร้อมกับการที่ธนาคารกลางประเทศใหญ่ทั้งสหรัฐและยุโรปปรับท่าทีดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งกลุ่มหุ้นวัฏจักรมีระดับราคาต่อมูลค่าที่น่าสนใจ (คาดว่าจะทำผลตอบแทนช่วง Q1 2024 ได้ดี)ส่วนกองทุนตราสารหนี้นอกตลาดมีดอกเบี้ยรับที่ค่อนข้างสูง (Gross Yield 10%) หลายกองทุนเลือกกระจายความเสี่ยงในผู้ออกตราสารพร้อมมีหลักทรัพย์ค้ำประกันในกองทุนหลัก มองว่าจะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับความผันผวนด้านราคา และหากเศรษฐกิจโลกเผชิญความเสี่ยงก็จะมีโอกาสที่กองทุนตราสารหนี้นอกตลาดจะติดลบได้น้อยกว่ากองทุนตราสารหนี้อื่น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกลุ่ม High Yield Bond
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี