นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมราคาสินค้าในช่วงนี้พบว่ามีการปรับขึ้นราคาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มอาหารสด ซึ่งล่าสุดเนื้อหมูมีการปรับราคาขึ้น 45 สตางค์ จากเดิมราคา 132.95 บาท/กิโลกรัม เพิ่มเป็น 133 บาท / กิโลกรัม ขณะที่อกไก่ มีการปรับราคาขึ้น 1 บาท จากเดิม 73 บาท/กิโลกรัม เพิ่มเป็น 74 บาท / กิโลกรัม กุ้งขาว มีการปรับราคาขึ้น 20 สตางต์ จากเดิม 186.80 บาท/กิโลกรัม เพิ่มเป็น 187 บาท / กิโลกรัม ไข่ไก่ฟองละ 3.60 บาท ราคาสูงขึ้นเช่นกัน แต่ยังอยู่ในสถานการณ์ราคาที่เหมาะสมกับต้นทุนของเกษตรกร
นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม จำนวน 1-2 ราย ได้เข้ายื่นเรื่องขอปรับขึ้นราคานม UHT มาที่กรมการค้าภายใน หลังจากที่คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม (Milk Board) ที่มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน ได้ประกาศปรับราคาน้ำนมโคดิบขึ้น จาก 20.50 บาท /กิโลกรัม เป็นราคา 22.75 บาท / กิโลกรัม หรือปรับขึ้น 2.25 บาท / กิโลกรัม ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตนมสดและผลิตภัณฑ์นมปรับสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม เอกสารที่ส่งมายังไม่ครบถ้วน จึงยังไม่ได้อนุญาตให้มีการปรับราคาจำหน่าย โดยต้องรอเอกสารเพิ่มเติมก่อน ซึ่งเรื่องดังกล่าว นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้กำชับกรมการค้าภายใน ให้พิจารณารายละเอียดของต้นทุนอย่างรอบคอบ โดยการปรับราคาสินค้านั้น กรมการค้าภายในจะพิจารณาเฉพาะต้นทุนน้ำนมดิบที่ปรับสูงขึ้นเท่านั้น เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนผู้บริโภคให้มากที่สุด ทั้งนี้หากเอกสารที่เสนอมายังกรมการค้าภายในถูกต้องและครบถ้วนแล้ว กรมการค้าภายในจะใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 15 วัน จึงจะบอกได้ว่าจะอนุญาตให้มีการปรับราคาขึ้นได้หรือไม่
“การปรับขึ้นราคาสินค้ามีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคในการซื้อสินค้า ซึ่งผู้ประกอบการเองก็พยายามจะบริหารจัดการและตรึงราคาสินค้าไว้ และส่วนใหญ่ผู้ประกอบการเองก็เข้าใจดีว่ากำลังซื้อของประชาชนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ จึงพยายามกระตุ้นการบริโภคให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อมากขึ้นแทนที่จะมีการปรับราคาตามต้นทุน เพราะเชื่อว่าการปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบกับยอดขายอย่างแน่นอน และนายภูมิธรรม เวชยชัยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็ให้ความสำคัญในการดูแลราคาสินค้าและผู้ประกอบการ การพิจารณาราคาสินค้าจะต้องไม่กระทบประชาชน ส่วนผู้ประกอบการเองก็อยู่ได้ด้วย”นายวัฒนศักย์ กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567 กรมการค้าภายใน ได้ประชุมร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารนมไทย สมาคมอุตสาหกรรมนมและอาหาร บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายนมสดและผลิตภัณฑ์นม โดยมีผู้แทนจากองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ฝ่ายเลขานุการของ Milk Board ร่วมประชุมด้วย ซึ่งในการประชุมบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายนมสดและผลิตภัณฑ์นม ได้ขอให้กรมการค้าภายในพิจารณาปรับราคาจำหน่ายนมสดและผลิตภัณฑ์นมตามมติ Milk Board และขอให้พิจารณาต้นทุนส่วนอื่นๆ ที่สูงขึ้นด้วย
โดยกรมการค้าภายในได้รับทราบและได้ชี้แจงถึงนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการจะลดภาระค่าครองชีพให้แก่พี่น้องประชาชน ซึ่งกรมการค้าภายในพร้อมดูแลทุกฝ่าย และยังคงยึดหลักการเดิมที่จะปรับเพิ่มขึ้นเฉพาะในส่วนของต้นทุนน้ำนมโคดิบที่สูงขึ้นตามมติ Milk Board ซึ่งจะพิจารณาตามสัดส่วนการใช้น้ำนมดิบในแต่ละผลิตภัณฑ์ และตามขนาดบรรจุภัณฑ์เท่านั้น ซึ่งผู้ประกอบการรับทราบนโยบายและเข้าใจถึงสถานการณ์
สำหรับการขอปรับราคาขึ้นนั้น บริษัทผู้ผลิตจะต้องแสดงหลักฐานการรับซื้อน้ำนมโคดิบว่าได้ซื้อมาในราคาที่สอดคล้องกับประกาศของ Milk Board (ไม่ต่ำกว่า 22.75 บาท/กิโลกรัม) และต้องยื่นข้อมูลสัดส่วนการใช้น้ำนมโคดิบด้วย เนื่องจากนมสดและผลิตภัณฑ์นมแต่ละยี่ห้อ แต่ละสูตร อาจใช้น้ำนมโคดิบในสัดส่วนที่แตกต่างกัน การพิจารณาอนุญาตก็จะพิจารณาให้ตามต้นทุนน้ำนมโคดิบที่สูงขึ้นจริง ซึ่งต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป
นายวัฒนศักย์กล่าวว่า สำหรับราคาสินค้าอื่นๆ นั้น ในสัปดาห์นี้พบว่าสินค้าเกษตรส่วนใหญ่มีการปรับราคาสูงขึ้น ซึ่งส่งผลดีกับเกษตรกรผู้ผลิต โดยเฉพาะราคาข้าวเปลือก ในปี 2567 นี้สูงกว่าปีก่อนมาก โดยราคาข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 14,850 บาท ข้าวเปลือกปทุมธานีตันละ 14,350 บาทและข้าวเปลือกเจ้าตันละ 12,850 บาท ส่วนราคาปาล์มน้ำมันขยับเพิ่มขึ้น เนื่องจากผลผลิตลดลง ตอนนี้อยู่ที่กิโลกรัมละ 6.25 บาท น้ำมันปาล์มบรรจุขวด ราคา 45 บาท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี