นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นสักขีพยานการลงนามจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Economic Partnership Agreement : EPA) ไทย–สาธารณรัฐเกาหลี ระหว่างน.ส.โชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และนายคอนกี โร Deputy Minister for Trade Negotiation กระทรวงการค้าอุตสาหกรรมและพลังงาน ของสาธารณรัฐเกาหลี ว่า ถือเป็นการนับหนึ่งอย่างเป็นทางการในการเริ่มต้นการเจรจา FTA ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี โดยสองฝ่ายคาดว่าจะเริ่มการเจรจารอบแรกภายในกลางปี 2567 และตั้งเป้าเจรจาเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2568 หรือต้นปี 2569 และยังเป็นการคิกออฟการเจรจา FTA กับประเทศคู่ค้าเป็นประเทศแรกภายใต้รัฐบาลชุดนี้ และในยุคที่ตนเป็นรมว.พาณิชย์ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่ได้ให้ไว้ว่าจะเร่งเปิดตลาดการค้า การลงทุนให้กับไทย โดยใช้ FTA เป็นหัวหอก
สำหรับการจัดทำ EPA ซึ่งสาธารณรัฐเกาหลีจะใช้ชื่อนี้ในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศกับคู่เจรจา แต่จริงๆ ก็คือ FTA โดยจะเป็นการต่อยอดจาก FTA ที่ไทยและสาธารณรัฐเกาหลีเป็นภาคีร่วมกัน ได้แก่ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน–สาธารณรัฐเกาหลี (AKFTA) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และมั่นใจว่าการจัดทำความตกลงดังกล่าว จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย อีกทั้งยังช่วยดึงดูดการลงทุนจากสาธารณรัฐเกาหลีเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้น อาทิ ยานยนต์ ไฟฟ้าและชิ้นส่วนและเทคโนโลยีสารสนเทศ และยังมุ่งหวังที่จะเสริมสร้างการพัฒนาความร่วมมือใหม่ๆ ที่ไทยและสาธารณรัฐเกาหลีมีความสนใจร่วมกัน อาทิ การเสริมสร้างความแข็งแกร่งในห่วงโซ่อุปทานการผลิต และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล
สินค้าที่ไทยจะได้รับประโยชน์จากความตกลง EPA ไทย-สาธารณรัฐเกาหลี ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และประมง อาทิ เนื้อไก่แช่แข็งและแปรรูป อาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูป ผลไม้เมืองร้อน อาทิ มะม่วง ฝรั่ง และมังคุด ผลิตภัณฑ์อาหารอื่นๆ อาทิ แป้ง ซอสและของปรุงรส ผลิตภัณฑ์ไม้ อาทิ ไม้แปรรูป พาติเคิลบอร์ดไม้อัดพลายวูด และเคมีภัณฑ์ ขณะที่สาขาบริการที่ไทยคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเปิดตลาดการค้าบริการของสาธารณรัฐเกาหลี อาทิ บริการด้านธุรกิจ บริการการขนส่ง คลังสินค้า และบริการด้านโรงแรมและภัตตาคาร
นอกจากนี้ยังได้รับแจ้งจากฝ่ายเกาหลีว่ากระทรวงการค้าอุตสาหกรรมและพลังงาน ของสาธารณรัฐเกาหลี ได้จัดงานประกาศยุทธศาสตร์นโยบายการค้าใหม่ของสาธารณรัฐเกาหลี โดยการจัดทำความตกลงการค้าเสรีกับประเทศคู่เจรจาสำคัญ รวมถึงประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายที่มีศักยภาพของสาธารณรัฐเกาหลี
“เกาหลีลงทุนในบ้านเราหลายหมื่นล้าน อย่างเครื่องใช้ไฟฟ้าซัมซุง รถยนต์ KIA และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เขาก็สนใจอยากเปิดตลาดร่วมกับเรา ซึ่งเรายินดีต้อนรับ เพราะจะได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกันให้เราสามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น และเกษตรกรไทยสนใจขยายตลาดไปเกาหลีเพิ่ม เช่น มังคุดและมะม่วง โดยเรายังมีแหล่งผลิตอาหารที่เป็นที่ต้องการ เช่น ไก่แช่แข็ง อาหารทะเลแช่แข็ง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะพยายามทำให้สินค้าของเราส่งออกสินค้าไปตลาดเกาหลีให้ได้มากที่สุดต่อไป”นายภูมิธรรมกล่าว
ในปี 2566 สาธารณรัฐเกาหลีเป็นคู่ค้าอันดับ 12 ของไทย มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 14,736.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกไปสาธารณรัฐเกาหลี 6,070.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ น้ำมันสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ยาง น้ำตาลทราย แผงวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม และไทยนำเข้าจากสาธารณรัฐเกาหลี 8,666.42 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี