นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2567ที่ผ่านมา ตนพร้อมด้วยคณะผู้บริหารของกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือกับคณะนักธุรกิจจากสมาคมการค้าไทย-ยุโรป (Thai-European Business Association : TEBA) ที่มีสมาชิกเป็นบริษัทนักลงทุนในสาขาสำคัญ เช่น ยานยนต์ (BMW, Mercedes-Benz, ABeam Consulting) การบินและอวกาศ (Airbus, Siam Seaplane) ดิจิทัล (Thales) ห่วงโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ (Maersk, CMA CGM) และอื่นๆ (Robert Bosch, TUV Rheinland, Lim & Partner,Access Europe)
โดยได้ชี้แจงนโยบายด้านเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนที่สำคัญของรัฐบาลชุดปัจจุบันของไทย พร้อมกันนี้ได้มีการแลกเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็นถึงแนวทางการทำงานร่วมกัน เพื่อสนับสนุนนโยบายของไทย โดยเฉพาะในประเด็นที่โลกให้ความสนใจ เช่น การพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมทั้งเรื่องของพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญและเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการสำหรับการเปลี่ยนแปลงของโลกดังกล่าว พร้อมเชิญชวนภาคเอกชนร่วมลงทุนในไทยที่มีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ โดยเป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อภูมิภาคต่างๆ เช่น อินโดจีน เอเชียตะวันออก เอเชียกลาง เอเชียใต้ และแอฟริกา รวมถึงในโครงการสำคัญ เช่น โครงการแลนด์บริดจ์ และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
นายภูมิธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนในการเร่งจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป (EU) ที่มีเป้าหมายสรุปการเจรจาให้ได้ภายในปี 2568 เพื่อเพิ่มศักยภาพการค้าการลงทุนระหว่างไทยและEU รวมถึงแผนที่จะทบทวนและปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจการลงทุน ซึ่ง TEBA ได้แสดงความยินดีที่ FTA ไทย- EU กลับมาเจรจากันอีกครั้ง โดยพร้อมสนับสนุนและผลักดันให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว ซึ่งนอกจากจะช่วยลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกันแล้ว ยังเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อนักลงทุนให้พิจารณาเพิ่มการลงทุนในไทย ตลอดจนจะช่วยส่งเสริมเรื่องการค้าและการพัฒนาที่ยั่งยืน และการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยอีกด้วย
ทั้งนี้ในปี 2566 ที่ผ่านมา EU เป็น คู่ค้าอันดับที่ 5 ของไทย รองจากอาเซียน จีน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น โดยเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 5 รองจากอาเซียน สหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่น และเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 4 รองจากจีน อาเซียน และญี่ปุ่น โดยการค้าระหว่างไทย-EU มีมูลค่ารวม 41,582.24 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า 1.43% โดยไทยส่งออกไปยัง EU มูลค่ารวม 21,838.37 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.21% และนำเข้าจาก EU รวมทั้งสิ้น 19,743.87 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.50% ทั้งนี้ไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้ามูลค่า 2,094.50 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น 1.เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 2.อัญมณีและเครื่องประดับ 3.เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 4.แผงวงจรไฟฟ้า 5.หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ 6.ผลิตภัณฑ์ยาง 7.รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 8.รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ 9.เครื่องจักรและส่วนประกอบ และ 10.เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ
ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญ เช่น 1.เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 2.ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม 3.เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ 4.เคมีภัณฑ์ 5.เครื่องบิน เครื่องร่อน อุปกรณ์การบินและส่วนประกอบ 6.เครื่องมือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การแพทย์ 7.แผงวงจรไฟฟ้า 8.ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ 9.เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด และ 10.เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี