นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจเปิดเผยว่าศูนย์พยากรณ์ฯได้เผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (CCI) ประจำเดือนเมษายน 2567 อยู่ที่ระดับ 62.1 จาก 63.0 ในเดือนก่อนหน้าเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เนื่องจากผู้บริโภค เริ่มกลับมากังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวช้า ประกอบกับราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน และกระแสข่าวการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อค่าครองชีพ รวมทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยและทั่วโลก ตลอดจนสงครามรัสเซีย-ยูเครน กับ อิสราเอลและฮามาส ที่ยังส่งผลกระทบทางจิตวิทยาในเชิงลบ ต่อกำลังซื้อต่อการท่องเที่ยว การส่งออก และการจ้างงานในอนาคต
ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งมีสัญญาณของการปรับตัวไม่โดดเด่น ปัจจัยหลักจะมาจากราคาพลังงาน มีผลต่อเนื่องกับค่าครองชีพรวมทั้งยังมีข่าวการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท มาเป็นปัจจัยบั่นทอนเพิ่มเติม และเสถียรภาพทางการเมืองที่ยังไม่นิ่ง หลังมีการทยอยลาออกของรัฐมนตรี ที่สำคัญคือเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้น แต่ยังเชื่อว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหลังจากนี้ จะดีขึ้นได้ จากนโยบายการคลังของรัฐบาล ทั้งงบลงทุน การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน ดังนั้น หากเม็ดเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจได้ ภายในเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม อย่างน้อยเดือนละ 50,000 ล้านบาท เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ
อย่างไรก็ตาม โดยทางศูนย์ฯคาดว่า เศรษฐกิจจะมีสัญญาณดีขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม จากเม็ดเงินภาครัฐ ทั้งการจัดซื้อจัดจ้าง ภาคการเกษตรดีขึ้น จากฝนที่เริ่มตก บรรเทาสถานการณ์ภัยแล้ง คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโต 2.6% ซึ่งต้องรอนโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ต ที่จะมีผลให้เศรษฐกิจไทยกระเตื้องขึ้น เพราะยังต้องรอความชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องการใช้เงิน รวมถึงความชัดเจนของการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศตั้งแต่เดือนตุลาคมด้วย เพราะจะมีผลให้ผู้ประกอบการ จะขึ้นราคาสินค้าและบริการ
นอกจากนี้ จากการคำนวณมีกลุ่มแรงงานที่ได้รับประโยชน์จากขึ้นค่าแรง 400 บาท ประมาณ 7 ล้านคนและเฉลี่ยค่าแรงขั้นต่ำขณะนี้อยู่ที่360 บาท จะมีเงินเพิ่มเฉลี่ยเดือนละ3,600 ล้านบาท รวมในไตรมาสสุดท้าย จะมีเงินเพิ่มประมาณ 10,000 ล้านบาทกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ได้0.3-0.4% แต่ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจของทั้งปีเพียง 0.05% เท่านั้น แต่ในทางกลับกันหากผู้ประกอบการผลักภาระไปยังราคาสินค้า จากการประเมินคาดว่า ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้น10-15% กระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะกำลังแรงงานทั่วประเทศที่ 38 ล้านคนซึ่งไม่ได้รับประโยชน์ตรงนี้ทุกคน กระทบต่อการบริโภคหดตัวลง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเชิงลบมากกว่าเชิงบวก คาดว่าจะฉุดเศรษฐกิจปีนี้ให้หดตัวจากที่ควรจะเป็นประมาณ 0.1-0.2% เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี