นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีผู้เสียหายและได้รับความเดือดร้อนจากธุรกิจที่แอบอ้างเป็น “ธุรกิจขายตรง” โดยที่จริงแล้วเป็น “ธุรกิจแชร์ลูกโซ่” ที่ไม่ได้มีการขายสินค้าจริง แต่ใช้วิธีการหาเครือข่ายให้เข้าร่วมลงทุนในธุรกิจเท่านั้น หรือไม่มีธุรกิจจริง แต่มีการแอบอ้าง/ปลอมแปลงหนังสือรับรองการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ และนำไปหลอกลวงประชาชนให้เข้าร่วมลงทุน โดยเสนอผลตอบแทนที่สูงแต่ลงทุนต่ำ
ทั้งนี้ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้กรมฯเร่งให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับวิธีการตรวจเช็ครายละเอียดธุรกิจที่ต้องการเข้าร่วมลงทุน เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นก่อนการตัดสินใจลงทุน เพราะปัจจุบันมีการนำหนังสือรับรองการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ และนำไปหลอกลวงประชาชนว่ามีการจัดตั้งเป็นบริษัท ก่อนทำการชักชวนให้เข้าร่วมลงทุน โดยเสนอผลตอบแทนที่สูง แต่ลงทุนต่ำ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก
สำหรับวิธีการตรวจสอบธุรกิจ ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากคลังข้อมูลธุรกิจของกรมฯ ที่ได้รวบรวมข้อมูลธุรกิจ (นิติบุคคล) ไว้มากที่สุด และเป็นคลังข้อมูลธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยให้บริการฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ สามารถเข้าค้นหารายละเอียดข้อมูลธุรกิจได้จากเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ www.dbd.go.th >> บริการออนไลน์ >> DBD DataWarehouse+ (คลังข้อมูลธุรกิจ) ค้นหาด้วยชื่อนิติบุคคล หรือเลขทะเบียนนิติบุคคล 13 หลัก
โดยขั้นตอนการตรวจรายละเอียดธุรกิจที่ต้องการร่วมลงทุน จะต้องดำเนินการทั้งสิ้น 6 วิธี ได้แก่ 1.ตรวจสอบความมีตัวตนของธุรกิจว่ามีตัวตนในการดำเนินธุรกิจจริงหรือไม่ โดยต้องมีชื่อนิติบุคคลอยู่ในคลังข้อมูลธุรกิจ 2.ตรวจสอบข้อมูลสถานะนิติบุคคล ว่ายังดำเนินกิจการอยู่ 3.ตรวจสอบรายชื่อกรรมการว่าตรงกับข้อมูลธุรกิจที่จะร่วมลงทุนได้ให้ข้อมูลไว้หรือไม่ โดยเฉพาะบุคคลที่มาเชิญชวนให้เข้าร่วมลงทุน แต่กลับไม่มีชื่อเป็นกรรมการ หรือชื่อกรรมการเป็นใครก็ไม่รู้ ประเด็นนี้ควรตั้งข้อสังเกตถึงความน่าเชื่อถือของธุรกิจไว้ก่อน
4.ตรวจสอบว่าธุรกิจมีการนำส่งงบการเงินครบทุกปีหรือไม่ ตั้งแต่ปีที่เริ่มประกอบธุรกิจ หากพบว่าธุรกิจไม่เคยนำส่งงบการเงินเลย หรือส่งบ้างไม่ส่งบ้าง แสดงว่าธุรกิจดังกล่าวไม่มีความน่าเชื่อถือเพราะงบการเงินเป็นสิ่งที่แสดงฐานะการเงินและความเป็นไปของธุรกิจ ให้ผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งลูกหนี้ เจ้าหนี้ และผู้ลงทุน ได้เห็นถึงสถานะของธุรกิจอีกทั้งการนำส่งงบการเงินเป็นหน้าที่ของนิติบุคคลที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย 5.ตรวจสอบว่าประเภทธุรกิจตอนที่จดทะเบียนจัดตั้งกับตอนที่นำส่งงบการเงินถูกต้องตรงกันหรือไม่ หากไม่ตรงกันต้องตั้งข้อสังเกตถึงประเภทธุรกิจว่านิติบุคคลนี้ทำธุรกิจประเภทใดกันแน่
6.ควรดูข้อมูลอัตราส่วนทางการเงิน เพื่อให้ทราบถึงสุขภาพทางการเงินของนิติบุคคลในมิติต่างๆ เช่น ความสามารถในการทำกำไร สภาพคล่องประสิทธิภาพในการดำเนินงาน สินทรัพย์และหนี้สิน มีสัดส่วนอย่างไร โดยข้อมูลงบการเงินและข้อมูลอัตราส่วนทางการเงิน กรมให้บริการจากฐานข้อมูลงบการเงินที่นิติบุคคลนำส่งงบการเงินกับกรม และสามารถเลือกแสดงได้ว่าจะเปรียบเทียบข้อมูลในมิติไหน ระหว่างเปรียบเทียบนิติบุคคลเดียวกัน ในรอบ 5 ปีย้อนหลัง หรือเปรียบเทียบนิติบุคคลนั้นกับนิติบุคคลรายอื่นๆ ที่ประกอบธุรกิจเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม วิธีการตรวจเช็ครายละเอียดธุรกิจดังกล่าว เป็นเพียงองค์ประกอบเบื้องต้นในการตรวจสถานะของนิติบุคคล ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่ควรพิจารณาและแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อมิให้ถูกหลอกลวงและเสียทรัพย์สินจำนวนมากจากการลงทุน ดังนั้น การศึกษาหาข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบก่อนตัดสินใจร่วมลงทุน จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำและมีความจำเป็นมากที่สุด เพราะปัจจุบันมิจฉาชีพมีวิธีการหลอกลวงที่มีความแนบเนียนมากขึ้น
“กระทรวงฯมีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากปัญหาที่เกิดขึ้น จึงขอเตือนภัยอย่าหลงเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อ ลงทุนต่ำแต่ได้ผลตอบแทนสูง โดยใช้ความร่ำรวยและผลตอบแทนสูงมาจูงใจ โดยก่อนร่วมลงทุนกับใคร ควรรู้เขาให้ละเอียดก่อน และจะลงทุนทำธุรกิจทั้งที ต้องตรวจสอบธุรกิจที่จะร่วมลงทุนให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ” นางอรมน กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี