นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.นีโอ คอร์ปอเรท (NEO) และบริษัท นีโอ แฟคทอรี่ จำกัด เปิดเผยว่า นีโอ มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมในตลาด Fast Moving Consumer Goods หรือ FMCG (สินค้าอุปโภค-บริโภคที่วางจำหน่ายอย่างรวดเร็วในท้องตลาดและมีต้นทุนในการผลิตต่ำ ไม่คงทน) ของไทยและเอเชีย ด้วยการพัฒนาสินค้าเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ นีโอจึงจับมือ บริษัท ฤทธา จำกัด และบริษัท เมตริก วิศวกร ที่ปรึกษา และสถาปนิก จำกัด สร้าง “โรงงานแห่งอนาคต” ตั้งเป้าจะแล้วเสร็จเฟสแรกปลายปี 2569
โดยการลงทุนขยายโรงงานครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการผลิต ภายใต้กลยุทธ์ “Efficient Supply Chain” เสริมศักยภาพการแข่งขันและรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต โดยใช้งบลงทุนในการออกแบบและก่อสร้างประมาณ 2,464 ล้านบาท มุ่งพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผ้า
(Fabric Care) และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นผิวภายในบ้าน (Home Cleaning) รวมถึงในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก (Baby & Kids) ให้สอดคล้องกับตลาดที่เติบโตขึ้น
ซึ่งทั้งหมดนี้จะดำเนินการตามมาตรฐานคุณภาพ ความปลอดภัย และหลัก ESG เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
นายณรงค์ฤทธ กุศลมนิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมตริก วิศวกรที่ปรึกษา และสถาปนิก จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้นำความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะในด้านการออกแบบอาคารประหยัดพลังงาน และการใช้เทคโนโลยี BIM มาใช้ในการออกแบบและก่อสร้างโรงงานแห่งนี้ให้มีความทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อให้เป็นโรงงานต้นแบบที่ผสานนวัตกรรมและความยั่งยืนเข้าไว้ด้วยกัน ตลอดจนส่งเสริมการเติบโตของนีโอในระยะยาว
โดยโรงงานแห่งนี้จะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 36 เดือน แบ่งเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรกจะเริ่มก่อสร้างในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่โรงงานในปัจจุบันของนีโอ ในอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี มีพื้นที่ใช้สอยกว่า 71,307 ตารางเมตร บนพื้นที่กว่า 16 ไร่ คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเริ่มดำเนินการผลิตได้ในเดือนพฤศจิกายน 2569 ส่วนเฟสที่ 2 จะเริ่มก่อสร้างในเดือนตุลาคม 2569 คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเริ่มดำเนินการผลิตได้ในเดือนเมษายน 2571 คาดว่าโครงการดังกล่าวสามารถรองรับกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มของใช้ในครัวเรือน รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็กอย่างน้อย 359,086 ตันต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 215,318 ตันต่อปี เพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า 67% นอกจากนี้การแบ่งการขยายออกเป็น 2 เฟส ยังช่วยลดภาระทางการเงิน และส่งผลดีต่องบการเงินรวมของบริษัทอีกด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี