บินไทย เผยปี'67 พลิกขาดทุน 2.6 หมื่นล้าน

บินไทย เผยปี'67 พลิกขาดทุน 2.6 หมื่นล้าน

วันพุธ ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568, 16.18 น.

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ผลประกอบการปี 2567 พลิกขาดทุนสุทธิ 2.69 หมื่นล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2.80 หมื่นล้านบาท และบริษัทย่อยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 187,989 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 26,922 ล้านบาท (16.7%) สาเหตุหลักมาจากรายได้จากกิจการขนส่งที่เพิ่มขึ้น 24,035 ล้านบาท (16.2%)

โดยรายได้จากการขนส่งผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น 22,231 ล้านบาท (16.7%) เนื่องจากการเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน และเส้นทางบินที่ให้บริการ เพื่อรองรับปริมาณความต้องการเดินทางของผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น โดยในปีนี้ บริษัท ได้เพิ่มความถี่เที่ยวบินในเส้นทางภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น โตเกียว (นาริตะ) นาโกยา ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง ไทเป เป็นต้น และกลับมาให้บริการในเส้นทางบินสู่เมืองเพิร์ท โคลัมโบ มิลาน ออสโล และบรัสเซลส์


นอกจากนี้ยังเปิดเส้นทางบิน ใหม่ไปยังเมืองโกชิ ทำให้บริษัท มีเครือข่ายเส้นทางบินให้บริการครอบคลุม 64 จุดบิน ใน 27 ประเทศทั่วโลก โดยเป็น 8 จุดบินในประเทศ (ไม่รวมกรุงเทพมหานคร) โดยมีรายได้จากค่าระวางขนส่ง และไปรษณียภัณฑ์เพิ่มขึ้น 1,804 ล้านบาท (11.7%) จากปริมาณการขนส่งพัสดุภัณฑ์ (RFTK) เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.5 ถึงแม้ว่ารายได้ พัสดุภัณฑ์เฉลี่ยต่อหน่วยลดลงร้อยละ 10.2 นอกจากนี้บริษัท และบริษัทย่อยมีรายได้จากกิจการอื่นเพิ่มขึ้น 1,632 ล้านบาท (17.7%) โดยส่วนใหญ่มาจากรายได้หน่วยธุรกิจที่เพิ่มขึ้นจากจำนวนผู้โดยสาร และจำนวนเที่ยวบินของ สายการบินลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และมีรายได้อื่นๆ เพิ่มขึ้น 1,255 ล้านบาท (34.7%)

อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการ ที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 25,618 ล้านบาท (21.2%) ตามปริมาณการผลิต และ/หรือปริมาณการขนส่ง จำนวนเที่ยวบิน จุดบิน และผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายจากการด่าเนินงานเพิ่มสูงขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น ค่าใช้จ่ายซ่อมแซม และซ่อมบำรุงอากาศยานซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณการค่าซ่อมที่สูงขึ้นตามจำนวนเครื่องบินที่ใช้ในการ ปฏิบัติการบินเพิ่มขึ้น ค่าบริการการบินเพิ่มขึ้นเนื่องจากอัตราค่าบริการภาคพื้นที่สูงขึ้น ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขาย และ โฆษณาเพิ่มขึ้นตามการจองบัตรโดยสารที่เพิ่มสูงขึ้น และค่าใช้จ่ายอื่นที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัท และบริษัทย่อยมีกำไร จากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) เท่ากับ 41,515 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,304 ล้านบาท (3.2%)

ทั้งนี้ บริษัท และบริษัทย่อยรับรู้ต้นทุนทางการเงิน (ซึ่งเป็นการรับรู้ต้นทุนทางการเงินตามมาตรฐานการรายงาน ทางการเงินฉบับที่ 9: TFRS 9) จำนวน 18,781 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปีก่อน 3,170 ล้านบาท (20.3%) และมีรายการที่ เกิดขึ้นครั้งเดียวสุทธิเป็นค่าใช้จ่ายรวม 49,260 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากรายการขาดทุนจากการปรับโครงสร้าง หนี้ประมาณ 45,271 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลขาดทุนทางบัญชีที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการแปลงหนี้เป็นทุนตามแผน ฟื้นฟูกิจการ (โปรดพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อ “ขาดทุนจากการปรับโครงสร้างหนี้” ) ขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และปรับปรุงสินค้าคงเหลือในกลุ่มที่ไม่มี ฝูงบิน หักลบกับการปรับปรุงรายได้บัตรโดยสาร และค่าธรรมเนียมบัตรโดยสารที่หมดอายุ ส่งผลให้ปี 2567 บริษัท และบริษัทย่อยขาดทุนสุทธิจ่านวน 26,901 ล้านบาท ในขณะที่ปีก่อนกำไรสุทธิ 28,123 ล้านบาท โดยเป็นขาดทุน ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 26,934 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 6.26 บาท ขณะที่ปีก่อนกำไร 12.87 บาทต่อหุ้น โดยมี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบิน รวมค่าเช่าเครื่องบินที่คำนวณจากการใช้ เครื่องบินที่เกิดขึ้นจริง (Power by the Hour) จำนวน 41,839 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อน 1,036 ล้านบาท (2.4%)

อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในไตรมาส 2 ปี 2568 โดยบริษัท จะดำเนินการจัดการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการบริษัทฯ ตามเงื่อนไขใน แผนฟื้นฟูกิจการ และยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ ตามแนวคิด “Fly for The New Pride” สู่ขอบฟ้าใหม่แห่งความภาคภูมิใจที่สะท้อนความมุ่งมั่นของการบินไทยในการสร้างการเติบโตอย่าง ยั่งยืน เพื่อประโยชน์ขององค์กร พนักงาน ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งระบบ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และยกระดับการบริการเพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าต่อไป

สำหรับการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการในขั้นตอนถัดไป ที่ประชุมคณะผู้บริหารแผนดำเนินการเพื่อบรรลุเงื่อนไขผลสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการข้อสุดท้าย โดยได้มีมติเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นซึ่งจะจัดขึ้นตามข้อกำหนดของแผนฟื้นฟูกิจการในวันศุกร์ที่ 18 เมษายน 2568 และกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมและออกเสียงในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (Record Date) เป็นวันศุกร์ที่ 14 มีนาคม 2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติกำหนดจำนวนกรรมการบริษัท จำนวน 11 ท่านหรือ 12 ท่าน ซึ่งประกอบด้วยกรรมการในปัจจุบันจำนวน 3 ท่าน ได้แก่ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร และพลอากาศเอก อำนาจ จีระมณีมัย และกรรมการเข้าใหม่จำนวน 8 ท่านหรือ 9 ท่าน (ตามแต่จำนวนกรรมการที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติอนุมัติ) โดยรายนามกรรมการเข้าใหม่ที่เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาเลือกตั้งประกอบด้วยกรรมการจำนวน 6 ท่าน ได้แก่ นายลวรณ แสงสนิท ดร. กุลยา ตันติเตมิท นายชาครีย์ บำรุงวงศ์ พลตำรวจเอก ธัชชัย ปิตะนีละบุตร นายชาติชาย โรจน์รัตนางกูร และนายชาย เอี่ยมศิริ และกรรมการอิสระจำนวน 3 ท่าน ได้แก่ นายณปกรณ์ ธนสุวรรณเกษม นายยรรยง เดชภิรัตนมงคล และนายสัมฤทธิ์ สำเนียง ทั้งนี้ ภายหลังจากบริษัทฯ ได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นแล้ว และได้รับอนุญาตจากศาลล้มละลายกลางแล้ว บริษัทฯ จะดำเนินการจดทะเบียนการเปลี่ยนแปลงจำนวนกรรมการ และการแต่งตั้งจดทะเบียนกรรมการใหม่ ก่อนที่จะดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการต่อไป

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะผู้บริหารแผนเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติอนุมัติการลดมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) ของหุ้นของบริษัทฯ จากหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1.30 บาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมทางบัญชีของบริษัทฯ ให้ใกล้เคียงศูนย์มากที่สุด โดยจะทำให้ทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วของบริษัทฯ ลดลงจากจำนวนประมาณ 283,033 ล้านบาท เป็นจำนวนประมาณ 36,794 ล้านบาท และทำให้ผลขาดทุนสะสมลดลงเหลือ 180 ล้านบาท ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้หรือบริษัทฯ แต่อย่างใด และไม่ส่งผลกระทบต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมในงบการเงินของบริษัทฯ อีกทั้ง ไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าบริษัทหรือมูลค่าต่อหุ้น เนื่องจากมูลค่าต่อหุ้นไม่ได้ถูกกำหนดจากมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par Value) และเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทฯ สามารถพิจารณาจ่ายเงินปันผลในอนาคตให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ รวมถึงเจ้าหนี้จากการแปลงหนี้เป็นทุน และเป็นการเพิ่มความน่าสนใจของหุ้นให้แก่นักลงทุนภายหลังการกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือหากในอนาคต บริษัทฯ ต้องการที่จะระดมทุนเพิ่มเติมโดยการออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อนำมาใช้ในการประกอบกิจการหรือชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัทฯ ก็สามารถดำเนินการได้โดยไม่ติดขัดเรื่องผลขาดทุนสะสมซึ่งเป็นเพียงตัวเลขทางบัญชีอีกต่อไป

- 030 


 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top