ลัมโบร์กินี เผยยอดขายทั่วโลก ส่งมอบรถมากถึง 10,687 คัน

ลัมโบร์กินี เผยยอดขายทั่วโลก ส่งมอบรถมากถึง 10,687 คัน

วันอาทิตย์ ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2568, 21.06 น.

ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี เผยผลประกอบการปี 2567 ทั้งจำนวนการส่งมอบรถยนต์ ยอดขาย และรายได้ จากการดำเนินงาน ที่ผู้ผลิตรถยนต์จาก Sant’Agata Bolognese สามารถทำลายสถิติ รายได้สูงกว่า 3 พันล้านยูโร (ทำรายได้ถึง 3.09 พันล้านยูโร) เพิ่มขึ้น 16.2% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566  นอกจากนี้ รายได้จากการดำเนินงานก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยทำได้มากกว่า 800 ล้านยูโร (ที่ 835 ล้านยูโร) เพิ่มขึ้น 15.5% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ส่วนอัตรากำไรจากการดำเนินงานยังรักษาระดับที่ 27% ส่งผลให้แบรนด์ลัมโบร์กินี ยังคงเป็นหนึ่งในเจ้าตลาดระดับโลกที่มีกำไรมากที่สุดในกลุ่มสินค้าลักซ์ชัวรี

มร.สเตฟาน วิงเคิลมันน์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี กล่าวว่า “เราสามารถกล่าวสรุปปี แห่งการทำลายสถิติของออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี ครั้งนี้ได้ว่า เกิดจากการพัฒนาทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ไปพร้อมกับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ต้องเผชิญกับความยากลำบากในตลาดรถยนต์และสภาพแวดล้อม ที่มีการแข่งขันสูง ทว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา เรากลับสามารถเติบโตในทั้ง 3 ภูมิภาคหลัก (อเมริกา / ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา / เอเชียแปซิฟิก) ซึ่งยืนยันถึงสถานะอันแข็งแกร่งของแบรนด์ในตลาดโลก ผลประกอบการนี้ แสดงให้เห็นถึงจุดแข็งของทีมงานที่ยอดเยี่ยมของเรา และสร้างความมั่นใจให้เรากล้ามุ่งมั่นเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งต่อ ๆ ไปในอุตสาหกรรมยานยนต์ ผ่านการผสานสมรรถนะ ความพิเศษเฉพาะตัว และนวัตกรรมเข้าด้วยกัน”


ยอดขายในปี 2567 ยังสร้างสถิติสูงสุด โดยออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี สามารถส่งมอบรถได้จำนวน 10,687 คัน ก้าวข้ามขีดจำกัด 10,000 คันได้อีกครั้ง และยังมีอัตราการเติบโตสูงกว่าปีก่อนหน้าที่ 5.7%

มร.เปาโล โพมา กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี กล่าวว่า “บริษัท มีการเติบโตในปี 2567 อย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการเงินและธุรกิจ ซึ่งทำให้เรามีระดับผลกำไรที่เกาะกลุ่มแบรนด์หรูชั้นนำอื่น ๆ ของโลก ท่ามกลางบริบทที่ท้าทายนี้ เป้าหมายของเรายังคงเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในด้านการเงินและสิ่งแวดล้อม เพื่อมอบคุณค่าให้แก่ผู้ถือประโยชน์ทุกฝ่ายของเรา”

สถิติผลประกอบการในปี 2567 ถือเป็นจุดสูงสุด ของช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนของบริษัท โดยในระยะเวลาเพียง 18 เดือน บริษัทได้พัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมด ด้วยการเปิดตัวรถยนต์ รุ่นใหม่ 3 รุ่น ช่วยเสริมความแข็งแกร่ง ให้กลุ่มผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ และสร้างกระแสความสนใจได้อย่างมากในตลาดโลก โดยรุ่นแรกที่เปิดตัว คือ Revuelto รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง (High Performance Electrified Vehicle: HPEV) ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ V12 รุ่นแรกจากโรงงาน โดยผสานเครื่องยนต์ V12 อันเป็นแบบฉบับของออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี เข้ากับเทคโนโลยีไฮบริด ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว รุ่นต่อมาคือ การเปิดตัว Urus SE ยกระดับคอนเซ็ปต์ Super SUV ไปอีกขั้นด้วยการนำเสนอสุดยอดแห่งเทคโนโลยี นวัตกรรม ประสิทธิภาพ และการออกแบบเพื่อมอบประสิทธิภาพที่เหนือกว่า และรุ่นสุดท้าย นำเสนอคุณสมบัติอันโดดเด่นและเครื่องยนต์ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมดใน Temerario ซึ่งเปิดตัวในงาน Monterey Car Week เดือนสิงหาคม 2567 แสดงให้เห็นถึงดีเอ็นเอในแบบฉบับของลัมโบร์กินีได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมการันตีประสบการณ์การขับขี่ที่ไร้คู่แข่ง

ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี โดดเด่นด้วยกลยุทธ์ ที่ผสานนวัตกรรม ความพิเศษเฉพาะตัว และประสิทธิภาพขั้นสูง ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของเอกลักษณ์ และความสำเร็จระดับโลกของแบรนด์ บริษัท ลงทุนอย่างต่อเนื่องในการวิจัยและพัฒนา เพื่อการทดลองเทคโนโลยีขั้นสูง วัสดุรุ่นใหม่ และโซลูชั่นการออกแบบ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ความยั่งยืน และคุณภาพการผลิต และด้วยการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตและการนำระบบที่ล้ำสมัยเข้ามาใช้งาน ทำให้สามารถยกระดับมาตรฐานของแบรนด์ให้สูงขึ้น พร้อมรักษาสถานะอันแข็งแกร่งในภาคอุตสาหกรรมที่เปี่ยมด้วยความเป็นเลิศทางเทคโนโลยีและความหรูหราที่เหนือระดับ

เอกลักษณ์ของออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี คือ การผสานระหว่างความพิเศษเฉพาะตัว ความเป็นแรร์  ไอเท็ม และการรักษาคุณค่าในระยะยาว รถยนต์แต่ละรุ่นถูกออกแบบ เพื่อมอบประสบการณ์สุดพิเศษสำหรับลูกค้า ด้วยการปรับแต่งที่ไม่เคยมีมาก่อน การออกแบบที่หรูหราเป็นเอกลักษณ์ และงานช่างฝีมืออันโดดเด่น ด้วยการผลิตจำนวนจำกัดและความใส่ใจ ในทุกรายละเอียดอย่างพิถีพิถัน ทำให้รถยนต์ลัมโบร์กินีทุกคัน ยังดูสวยงามดึงดูดใจและรักษามูลค่าสูงได้ในระยะยาว การรักษาสมดุลระหว่างความเป็นแบบฉบับดั้งเดิมและการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงกำหนดแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ล้ำสมัยเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการนำโซลูชัน ที่ยั่งยืนและตอบโจทย์อนาคตมาประยุกต์ใช้งานได้มากขึ้น รวมถึงการวิจัยอย่างต่อเนื่องในด้านวัสดุสมัยใหม่ ความสมบูรณ์แบบของอากาศพลศาสตร์ และการปรับปรุงเทคนิคการผลิตให้เหมาะสม ช่วยการันตีถึงประสบการณ์การขับขี่ที่ยากจะหาใครเทียบได้ โดยยังคงความตื่นเต้นเร้าใจ สไตล์ที่โดดเด่น และวิศวกรรมล้ำสมัยในสไตล์ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี ได้อย่างชัดเจน

ด้วยฐานการผลิตทั้งหมด ตั้งอยู่ใน Sant’Agata Bolognese และการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นทั้งในท้องถิ่น และทั่วประเทศ ทำให้ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี คือ หนึ่งในธุรกิจชั้นนำแห่งประเทศอิตาลี และยังเป็นผู้ส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์สัญชาติอิตาลีที่มีความสำคัญในระดับโลก

การขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ของออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี ส่งผลให้อัตราการจ้างงานสูงขึ้น จากการเพิ่มจำนวนพนักงานใหม่กว่า 1,000 คน ตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา นับเป็นการเพิ่มจำนวนพนักงาน 30% การเติบโตนี้เกิดจากแผนการลงทุนครั้งสำคัญของบริษัท ซึ่งให้ความสำคัญทั้งการส่งเสริมนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และการพัฒนาองค์กร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ทันสมัย ​​ขยายระบบการผลิต และเสริมสร้างความยั่งยืนของระบบนิเวศอุตสาหกรรมในภาพรวม  ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมเหล่านี้ ทำให้ ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี มีความพร้อมในการรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ โดยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้สามารถรุกตลาดโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ดาวน์โหลดรูปภาพและวิดีโอที่ media.lamborghini.com

ดูรายละเอียดของออโตโมบิลี ลัมโบร์กินี ได้ที่ www.lamborghini.com

 

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top