พลังงานสะอาด คือเทรนด์แห่งอนาคต หนึ่งในนั้นคือ พลังงานแสงอาทิตย์ ติดตั้งบนหลังคา หรือโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน สำหรับประเทศไทย การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปจึงไม่ใช่แค่เทรนด์ใหม่ แต่ยังเป็นทางเลือกที่ดีในการลดภาระค่าไฟฟ้าในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากความได้เปรียบเชิงกายภาพที่บ้านเรามีแสงแดดมากพอตลอดทั้งปี และการที่ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งประเด็นความยั่งยืนก็กลายเป็นสิ่งสำคัญ ที่ได้รับความสนใจทั้งระดับครัวเรือนและภาคธุรกิจ การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปจึงเป็นแนวทางลดต้นทุนในระยะยาวและยังตอบโจทย์เพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์อันเป็นวาระแห่งชาติที่มีร่วมกันอีกด้วย
ความเป็นไปได้ในตลาด และโอกาสในการลงทุน
การลงทุนในการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป เป็นหนึ่งในความพยายามเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ วิจัยกรุงศรี มองว่า ในระยะยาวโครงการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปของประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยได้รับแรงผลักดันจากการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบและนโยบายสนับสนุนตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (Power DevelopmentPlan: PDP2024) ที่กำหนดเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าสะอาดจากพลังงานแสงอาทิตย์มากถึง16% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งรัฐบาลไทยยังมีแนวทางสนับสนุน และสิ่งจูงใจต่างๆ ทั้งนโยบายที่ให้ผู้ติดตั้งระบบโซลาร์สามารถขายไฟฟ้าที่ผลิตได้เกินความต้องการคืนให้ระบบสายส่งไฟฟ้า การลดค่าธรรมเนียมล่วงหน้าสำหรับธุรกิจที่ลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์ และการสนับสนุนทางการเงินทั้งในรูปแบบสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและกองทุนต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้ภาคครัวเรือนและ SME สามารถติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปได้มากขึ้น เป็นต้น
จากการเปรียบเทียบศักยภาพด้านการลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์กับพลังงานหมุนเวียนประเภทอื่นๆ พบว่า พลังงานแสงอาทิตย์มีความเสี่ยงต่ำในเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะด้านวัตถุดิบเพราะแสงอาทิตย์ไม่มีต้นทุน ขณะที่ต้นทุนเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้
ยังมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนในพลังงานสะอาดจากภาครัฐอย่างชัดเจน ปัจจุบันเราจะเห็นการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปสำหรับที่อยู่อาศัยของบ้านที่ต้องการความเป็นอิสระด้านพลังงาน รวมถึงการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เชิงพาณิชย์และเชิงอุตสาหกรรม เช่น โรงงานและห้างสรรพสินค้าที่ต้องการลดต้นทุนการดำเนินงาน และโอกาสในการลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากการปล่อยเงินกู้พลังงานแสงอาทิตย์ และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้า (Power Purchase Agreement หรือ PPA)
ความท้าทาย และโอกาสในอนาคต
การลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์แม้จะมีศักยภาพสูง แต่ยังคงมีอุปสรรค เช่น ค่าใช้จ่ายแรกเริ่มที่สูง ข้อจำกัดด้านกฎระเบียบข้อบังคับ และความรู้ในด้านพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีอย่างจำกัด ซึ่งอาจชะลอการเปลี่ยนไปใช้พลังงานรูปแบบนี้ อย่างไรก็ดี ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเพื่อรองรับการขยายตัวของโซลาร์รูฟท็อป และการเพิ่มความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจในการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในอนาคต รวมถึงพลวัตของตลาดทั้งในฝั่งอุปสงค์ อาทิ ภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ และสถาบันการศึกษาที่ตระหนักถึงประโยชน์ทางการเงินและความน่าเชื่อถือจากการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และฝั่งอุปทานที่ต้นทุนการติดตั้งลดลง ทำให้การลงทุนในโซลาร์รูฟท็อปของประเทศไทยยังคงเผยแสงสว่างบนเส้นทางสู่อนาคตที่สดใส
แม้อนาคตของโซลาร์รูฟท็อปจะมีแนวโน้มที่ดี แต่ยังมีประเด็นท้าทายทั้งเชิงเทคนิคและเชิงพาณิชย์ รวมถึงข้อจำกัดทางกายภาพในการติดตั้งอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ธุรกิจควรพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อก้าวข้ามความท้าทายต่างๆ เช่น การสร้างพันธมิตรและเครือข่ายความร่วมมือภายในห่วงโซ่การผลิต การพัฒนาขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มโอกาสจำหน่ายไฟฟ้าให้กับภาคธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการออกแบบระบบติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปที่มีประสิทธิภาพสูงและสอดคล้องกับมาตรฐานและกฎระเบียบการค้าโลกที่เน้นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
การลงทุนในโซลาร์รูฟท็อปไม่เพียงช่วยลดต้นทุนพลังงานในระยะยาว แต่ยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจเกิดใหม่ เช่น การรับเหมาติดตั้งโซลาร์เซลล์ บริการซอฟต์แวร์ระบบจัดการข้อมูลกระแสไฟฟ้าหรือธุรกิจการผลิตระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่งช่วยต่อยอดสู่การพัฒนาอีโคซิสเต็มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดแบบครบวงจร ที่ช่วยหนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน ที่สอดคล้องกับแนวทางการใช้พลังงานสะอาดและลดการปล่อยคาร์บอนอันเป็นแกนหลักในการสร้างสังคมโลกที่ยั่งยืน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี