นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายและผลกระทบของผู้ปกครองในช่วง เปิดเทอม ปีการศึกษา 2568 จำนวน 1,250 ตัวอย่างระหว่าง 1-6 พฤษภาคม ว่า คาดว่าจะมีมูลค่าการใช้จ่ายรวม 62,615 ล้านบาท เติบโตกว่าปีก่อน 3.80% ซึ่งในแง่มูลค่าถือว่าสูงสุดจากที่ได้ทำการสำรวจตั้งแต่ปี 2553 โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยโดยรวม 26,039 บาท/เทอม ซึ่งหากเรียนในโรงเรียนรัฐบาล อยู่ที่ 15,771 บาท/เทอม หากเป็นภาคพิเศษ อยู่ที่ 41,723 บาทต่อเทอม ส่วนโรงเรียนเอกชน ภาคปกติ 35,627 บาท ภาค 2 ภาษา 59,157 บาท
นางอุมากมล สุนทรสุรัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจส่วนใหญ่ 95 % ระบุว่าต้องเตรียมจ่ายค่าบำรุงโรงเรียน (แป๊ะเจี๊ยะกรณีย้ายโรงเรียน)เพิ่มขึ้น หรือเฉลี่ยใช้เงิน 8,786 บาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านค่าเทอม ค่าบำรุงโรงเรียน(ที่เดิม) ค่าหนังสือ ค่าอุปกรณ์การเรียน และค่าบริหารจัดการพิเศษเช่น ค่าประกันชีวิต ยังไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน แต่ชุดนักเรียน-รองเท้าสูงขึ้น และอีก 34.7% ระบุว่ามีค่าใช้จ่ายเพิ่ม จากราคาสินค้าแพงขึ้น ส่วนที่ใช้จ่ายได้เท่าเดิมถึงลดลง 65.3% มาจากสาเหตุราคาของแพงทำให้ต้องประหยัด ไม่มั่นใจต่อเศรษฐกิจไทย ขาดสภาพคล่อง และมีภาระหนี้มาก ซึ่ง 56.6% โดย 40.4 % ระบุว่าแก้ปัญหาโดยจำเป็นต้องหารายได้เสริม และ 53.2% ระบุว่าต้องมีรายได้อีกเฉลี่ย 5 พัน-1หมื่นบาท ส่วน 23.3% ลดค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ เช่น ใช้ชุดนักเรียนเดิมเท่าที่จำเป็น ลดซื้อใหม่ เพราะใช้เงินกับตำราเรียนและอุปกรณ์การศึกษา
สำหรับความคิดเห็นประเด็นอื่นๆเกี่ยวกับการศึกษา สะท้อนดังนี้ 41% ระบุกังวลการคบเพื่อนของบุตรหลาน ตามด้วยกังวลความรุนแรงในสังคมโรงเรียน และไม่มีงานทำในอนาคต อีกทั้งห่วงเด็กไทยค้นพบความถนัดของตนเองช้าเกินไป และความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเด็กในเมืองหรือเด็กฐานะดี ในแง่การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 44.6% มองเป็นผลเสียมากกว่าดี เพราะเป็นต้นเหตุการควบคุมอารมณ์ไม่ได้ และขาดการปฏิสัมพันธ์ในครอบครัว ส่วนอีก 37.7% มองว่าดีกว่าไม่ดี เพราะจะช่วยเพิ่มทักษะด้านภาษา และสร้างทักษะการติดสินใจ ดังนั้น 40.6% แนะใช้การแนะนำถึงข้อดีข้อเสีย และอีก 47.8% ระบุควรใช้การกำหนดให้เห็นเฉพาะวันหยุดและจำกัดเวลาเล่น
อย่างไรก็ตาม ยังมองว่าเทคโนโลยีและการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญต่อบุตรหลาในอนาคต จึงเห็นด้วยที่รัฐมีการสนับสนุนทางการศึกษา ผ่านกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ในทุกระดับการศึกษา โดยเสนอสิ่งที่รัฐต้องปรับปรุง คือ ระบบการประเมินผลนักเรียนที่วัดในหลายมิติ ลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาในแต่ละโรงเรียน เพิ่มการสนับสนุนทุนการศึกษาผู้ขาดแคลน พัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ทัดเทียมระดับสากลทั้งภาครัฐและเอกชน ปรับการสอนและเพิ่มบุคลกร
ขณะที่นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารได้ออกมาตรการ “สินเชื่อธนาคารประชาชนต้อนรับเปิดเทอม” ที่ผ่อนเกณฑ์อนุมัติให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น และเป็นการเดินหน้าภารกิจเชิงสังคมในการสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม สำหรับผู้ปกครองที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนในการเตรียมความพร้อมแก่บุตรหลานในช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำคงที่เพียง 0.60% ต่อเดือน วงเงินกู้ตามความจำเป็นสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาทต่อราย ระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน 1 ปี (12 งวด) ผ่อนชำระประมาณ 894 บาทต่อเดือน (รวมเงินต้นและดอกเบี้ย) ทั้งนี้ สำหรับผู้มีอาชีพ รายได้ และที่อยู่อาศัยแน่นอน สามารถยื่นขอสินเชื่อโดยไม่ต้องมีหลักประกัน ผ่านแอปพลิเคชัน MyMo หรือติดต่อธนาคารออมสินสาขาเพื่อขอคำแนะนำในการสมัครสินเชื่อ ได้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม – 31 กรกฎาคม 2568
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี