วันพฤหัสบดี ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / โลกธุรกิจ
หมุนตามทุน : ญี่ปุ่นยังครองแชมป์ลงทุนในไทย ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติยังโตไม่หยุด

หมุนตามทุน : ญี่ปุ่นยังครองแชมป์ลงทุนในไทย ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติยังโตไม่หยุด

วันพุธ ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 07.48 น.
Tag : โรงเรียนนานาชาติ หมุนตามทุน ลงทุน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ญี่ปุ่น
  •  

** กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดข้อมูลการลงทุนของชาวต่างชาติ 4 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-เมษายน 2568) โดยระบุว่า   การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ใน 4 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-เมษายน 2568) มีจำนวน 363 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 87 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 276 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 57,860 ล้านบาท โดยการอนุญาตฯ ใน 4 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-เมษายน 2568) มีจำนวนเพิ่มขึ้นจำนวน 110 ราย (43%) เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 2,902 ล้านบาท (5%)

สำหรับชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. ญี่ปุ่น 71 ราย คิดเป็น 20% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 17,255 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจจัดหาจัดซื้อ วัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ  ธุรกิจบริการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ การเปลี่ยนและทำการเชื่อมต่อท่อส่งใต้ทะเล ระหว่างแท่นหลุมผลิตในโครงการขุดเจาะน้ำมัน ธุรกิจบริการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า 2. สหรัฐอเมริกา 51 ราย คิดเป็น 14% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 2,485 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุน   ในธุรกิจค้าปลีกสินค้า ธุรกิจบริการคลังสินค้า ธุรกิจบริการ Data Center และธุรกิจบริการรับจ้างผลิต


3. สิงคโปร์ 45 ราย คิดเป็น 12% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 9,126 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนใน   ธุรกิจบริการออกแบบ จัดซื้อ จัดหา ติดตั้ง ทดสอบ ตลอดจนการฝึกอบรม การให้คำปรึกษาแนะนำด้านการปฏิบัติการของงานระบบควบคุมกำกับดูแลและเก็บข้อมูลสำหรับโครงการรถไฟฟ้า ธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า 4. จีน 43 ราย คิดเป็น 12% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 6,471 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อค้าส่งในประเทศ ธุรกิจบริการดำเนินพิธีการศุลกากรในเขตปลอดอากร (Free Zone) ธุรกิจบริการให้เช่าอาคารโรงงานพร้อมสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า 5. ฮ่องกง 40 ราย คิดเป็น 11% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 5,766 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า ธุรกิจบริการ DATA CENTER, CLOUD SERVICES และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า

สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติใน 4 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-เมษายน 2568)     มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 108 ราย คิดเป็น 30% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 31 ราย (40%) มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 31,363 ล้านบาท    คิดเป็น 54% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศ ญี่ปุ่น 32 ราย ลงทุน 10,008 ล้านบาท จีน 25 ราย ลงทุน 3,867 ล้านบาท สิงคโปร์ 10 ราย ลงทุน 5,934 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 41 ราย ลงทุน 11,554 ล้านบาทธุรกิจที่ลงทุน อาทิ ธุรกิจค้าปลีกสินค้าแม่พิมพ์ (Mould) ที่ใช้สำหรับผลิตชิ้นส่วนพลาสติก อุปกรณ์และชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมเครื่องทำความเย็น ชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิตยางรถยนต์ ธุรกิจบริการเคลือบผิวผลิตภัณฑ์โลหะ ธุรกิจบริการให้ใช้แพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น เคมีภัณฑ์สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับโลหะ ชิ้นส่วนเครื่องจักร ชิ้นส่วนคอมเพรสเซอร์รถยนต์ ผลิตภัณฑ์พลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม เป็นต้น

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์ธุรกิจที่น่าสนใจประจำเดือนเมษายน 2568 พบว่า ‘ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ’ ในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องสะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้ปกครองที่ต้องการมอบการศึกษาคุณภาพสูงให้กับบุตรหลานประเทศไทย จากข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2568 มีนิติบุคคลที่จดทะเบียนในธุรกิจหมวดการศึกษามีจำนวน 7,511 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 50,633 ล้านบาท จดทะเบียนรูปแบบบริษัทจำกัด 6,717 ราย (89.43%) ทุนจดทะเบียน 48,172 ล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 790 ราย (10.52%) ทุนจดทะเบียน 1,117 ล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด 4 ราย (0.05%) ทุนจดทะเบียน 1,345 ล้านบาท การลงทุนจากต่างชาติมีมูลค่ารวม 5,733 ล้านบาท ประเทศที่เข้ามาลงทุนใน 3 อันดับแรกคือ อังกฤษ 30% ทุนจดทะเบียน 1,706 ล้านบาท จีน 11% ทุนจดทะเบียน 636 ล้านบาท และ สิงคโปร์ 7% ทุนจดทะเบียน 428 ล้านบาท

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้วิเคราะห์เชิงลึกจากข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างนิติบุคคลโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยจำนวน 20 ราย พบว่า 5 ปีย้อนหลังตั้งแต่ปี 2563-2567 แม้จะมีช่วงที่ธุรกิจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้นักเรียนต่างชาติต้องเดินทางกลับประเทศหรือต้องเรียนออนไลน์ทำให้รายได้ชะลอตัวลง แต่สถานการณ์คลี่คลายธุรกิจก็สามารถสร้างรายได้และกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปี 2565 สร้างรายได้ 5,723 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 6.57% สร้างกำไร 681 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 55.75% ปี 2566 รายได้ก้าวกระโดดเป็น 7,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 28.04% สร้างกำไร 1,608 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 136.28% และปี 2567 รายได้โตต่อเนื่องเป็น 8,313 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 13.45% สร้างกำไร 1,835 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 14.08%  

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติกลายเป็นตัวเลือกสำคัญของผู้ปกครองยุคใหม่ที่มีกำลังทรัพย์ภายใต้ความคาดหวังที่ต้องการให้บุตรหลานเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง ทั้งด้านการเรียนรู้ภาษา วัฒนธรรมที่หลากหลาย และทักษะที่จำเป็นต่ออนาคต ส่งผลให้ธุรกิจนี้สามารถสร้างกำไรอย่างมหาศาลคือ 1. การให้ความสำคัญกับคุณภาพของครูต่อการดูแลนักเรียนที่มีสัดส่วนอยู่ประมาณ 8:1 คน ซึ่งทำให้สามารถสอนและติดตามการเรียนของนักเรียนได้อย่างใกล้ชิด 2. มาตรฐานระบบการศึกษา โดยส่วนใหญ่โรงเรียนนานาชาติที่เข้ามาเปิดในประเทศไทยจะเป็นเครือข่ายจากต่างประเทศที่มีระบบการเรียนการสอนแบบสากล และ 3. การขยายตัวของชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานหรือทำธุรกิจในประเทศไทย และมีครอบครัวติดตามมาด้วยจึงนิยมเลือกโรงเรียนนานาชาติเป็นที่เรียนให้กับบุตรหลาน สำหรับโอกาสในธุรกิจนี้ยังสามารถขยายต่อไปได้อีกมาก ทั้งการขยายธุรกิจไปสู่พื้นที่จังหวัดที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่จำนวนมากอย่าง ภูเก็ต เชียงใหม่ และพัทยา หรือการพัฒนาหลักสูตรการสอนที่สอดคล้องกับโลกในอนาคต อาทิ STEM Coding และ AI

** กระบองเพชร**

 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • ญี่ปุ่นลงทุนอันดับหนึ่ง  ลงทุนไทย 4 เดือนแรก เพิ่มขึ้นกว่า 5% ญี่ปุ่นลงทุนอันดับหนึ่ง ลงทุนไทย 4 เดือนแรก เพิ่มขึ้นกว่า 5%
  • กรมพัฒน์ นำทัพผู้ประกอบการสมุนไพรร่วมงาน THAIFEX 2025 กรมพัฒน์ นำทัพผู้ประกอบการสมุนไพรร่วมงาน THAIFEX 2025
  • ธุรกิจเจอหลายปัจจัยลบ  ตั้งบริษัทวูบสวนทวงปิดกิจการพุ่ง ธุรกิจเจอหลายปัจจัยลบ ตั้งบริษัทวูบสวนทวงปิดกิจการพุ่ง
  • อมตะซิตี้ ลองถั่น ดึง Ryder Industries ฮ่องกงปักหมุดลงทุน 700 ล้านบาท อมตะซิตี้ ลองถั่น ดึง Ryder Industries ฮ่องกงปักหมุดลงทุน 700 ล้านบาท
  • ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติโตรับความต้องการผู้ปกครอง ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติโตรับความต้องการผู้ปกครอง
  • 4 เดือนแรกญี่ปุ่นแห่ลงทุนไทยมากสุด 4 เดือนแรกญี่ปุ่นแห่ลงทุนไทยมากสุด
  •  

Breaking News

ก.เกษตรฯขับเคลื่อนระบบASPยกระดับระบบบริการเกษตร

'อีลอน มัสก์'ประกาศลาออกจากตำแหน่งในรัฐบาล'ทรัมป์'

‘ชาญชัย’ส่งเอกสารเพิ่ม‘ทักษิณ’นอนชั้น 14 ให้ศาลฎีกาฯ ‘เสรีพิศุทธ์’เชื่อ 13 มิ.ย.ไม่มาชัวร์

‘ปชน.’กระทุ้งต่อ! ปูด‘งบสภาฯ’มีโครงการพิสดารสร้าง‘คลังแสงอาวุธ’

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved