บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินแนวโน้มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ไทยปี 2568 คาดว่า ยอดขายของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์อยู่ที่ 2.26 แสนล้านบาท ขยายตัว 2.0% แต่เป็นอัตราที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (CAGR ปี 2565-2567) ที่โตเฉลี่ย 4.7% ต่อปี จากการบริโภคที่ยังได้รับแรงกดดันด้านกำลังซื้อของคนในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่น่าจะน้อยกว่าที่คาด

ปัจจุบันมีผู้เล่นเข้ามาในตลาดเป็นจำนวนมากหรือกว่า 2,794 ราย (เฉพาะนิติบุคคล) ส่งผลให้มีการแข่งขันรุนแรง ด้วยสินค้าที่มีหลากหลายขณะที่สินค้านำเข้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8.2% ต่อปี (CAGR ปี 2564-2567 ในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ)การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น จำเป็นต้องอาศัยการทำการตลาด เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และจูงใจให้เกิดการบริโภค 

ปี 2568 คาดว่า ไทยส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 1,744 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 1.0% ตลาดส่งออกหลักยังคงเป็นกลุ่มประเทศ CLMV  ชะลอลงอย่างมากเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อน ที่เติบโต 6.1% ต่อปี (CAGR ปี 2558-2567) โดยเฉพาะกลุ่มประเทศคู่ค้าหลักอย่าง CLMV ที่เผชิญปัจจัยกดดันทางด้านสงครามทางการค้า และปัญหาเศรษฐกิจส่งผลให้ยังคงระมัดระวังการใช้จ่าย

โดยการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในปี 2568 ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลัก การส่งออกไปยังตลาดศักยภาพใหม่ เช่น มาเลเซีย คาดว่าจะโตต่อเนื่อง จากการเข้าไปลงทุนหรือทำการตลาดเพิ่มเพื่อขยายฐานลูกค้า มีการร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ขยายช่องทางจัดจำหน่ายและมีโอกาสส่งออกได้เพิ่ม

อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยบางส่วนได้ขยายฐานการผลิตไปยังกลุ่มประเทศ CLMV มากขึ้น ทำให้คาดว่า ระยะต่อไปมูลค่าการส่งออกจากฐานการผลิตไทยอาจทยอยลดลง แต่ไปเพิ่มยอดขายจากฐานการผลิตในต่างประเทศ สะท้อนจาก สัดส่วนการส่งออกของไทยไปกลุ่มประเทศ CLMV ที่ทยอยลดลงจาก 76% ในปี 2561 ปรับลงมาอยู่ที่ 67% ในปี 2567

นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากการแข่งขันรุนแรงขึ้นจากสินค้านำเข้าจากคู่แข่งโดยเฉพาะจีน ที่มีราคาถูกกว่า และการที่ผู้ประกอบการไทยจะมีการกระจายฐานการผลิตไปยังตลาดคู่ค้าหลักอย่างกลุ่มประเทศ CLMV แล้ว ยังต้องเสี่ยงแข่งกับสินค้าท้องถิ่นหรือสินค้าที่ผลิตได้ในประเทศที่มีราคาต่ำกว่า เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง  น้ำผลไม้ ชาพร้อมดื่ม

ขณะที่ต้นทุนการผลิตปี 2568 ยังมีความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบหลักอย่างน้ำตาลทราย ที่ราคายังคงผันผวน รวมถึงบรรจุภัณฑ์ ทั้งกระดาษ กระป๋องและพลาสติกที่อาจได้รับผลกระทบจากสงครามทางการค้า อัตราภาษีความหวานซึ่งจะกระทบต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น