นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมคณะกรรมการอำนวยความสะดวกการขนส่งแห่งชาติ(National Transport Facilitation. Committee : NTFC) เพื่อพิจารณาร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศและจุดข้ามแดนเพิ่มเติม ภายใต้พิธีสาร 1 ของความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง GMS CBTA ฉบับที่ 2 และร่างบทเพิ่มเติม ฉบับที่ 3 ของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนสิทธิการจราจรระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ณ จุดผ่านแดน อรัญประเทศ-ปอยเปต
อย่างไรก็ตามจากการประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ระดับรัฐมนตรี(Joint Committee for the Greater Mekong Subregion Cross Border Transport Facilitation Agreement: JC GMS CBTA) ครั้งที่ 9 เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าของการเจรจากำหนดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศและจุดข้ามแดน เพื่อจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศและจุดข้ามแดนเพิ่มเติม ภายใต้พิธีสาร 1 ของความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาค ลุ่มแม่น้ำโขง GMS CBTA ฉบับที่ 2 และตั้งเป้าหมายให้การเจรจาแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2568
ในขณะเดียวกันยังรวมทั้งพิจารณาร่างบทเพิ่มเติม ฉบับที่ 3 ของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนสิทธิการจราจรระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ณ จุดผ่านแดน อรัญประเทศ-ปอยเปต ดังนั้นคณะกรรมการอำนวยความสะดวกการขนส่งแห่งชาติ(National Transport Facilitation. Committee: NTFC) จึงได้ประชุมเพื่อพิจารณาร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศและจุดข้ามแดนเพิ่มเติม ภายใต้พิธีสาร 1 ของ GMS CBTA ฉบับที่ 2 และร่างบทเพิ่มเติม ฉบับที่ 3
ทั้งนี้ที่ประชุม NTFC ได้เห็นชอบเนื้อหาหลักของร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดเส้นทางฯ ฉบับที่ 2 และเส้นทางที่ประเทศสมาชิกเห็นชอบร่วมกันในหลักการแล้ว จำนวน 12 เส้นทาง ซึ่งมีเส้นทางในไทย 5 เส้นทาง โดยจะถูกบรรจุเพิ่มไว้ในบัญชีรายชื่อเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศและจุดข้ามแดนที่กำหนด เส้นทางดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยเฉพาะการขนส่งไปยังกัมพูชา โดยทั้ง 5 เส้นทางในไทยนั้นผ่านจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม (จังหวัดสุรินทร์) บ้านแหลมและบ้านผักกาด (จังหวัดจันทบุรี)
สำหรับเส้นทางที่ฝ่ายกัมพูชาเสนอเพิ่ม จำนวน 7 เส้นทาง ซึ่งมีเส้นทางที่ไทยต้องพิจารณา 3 เส้นทาง ที่ประชุมได้ตั้งข้อสังเกตโดยให้พิจารณากำหนดระยะเวลาให้ชัดเจน และหากมีผลกระทบขอให้สามารถนำมาทบทวน แก้ไขได้เพื่อให้เหมาสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ที่ประชุม NTFC ได้เห็นชอบร่างบทเพิ่มเติม ฉบับที่ 3 ของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนสิทธิการจราจรระหว่างไทย-กัมพูชา ณ จุดผ่านแดน อรัญประเทศ-ปอยเปต เพื่อให้การเดินรถระหว่าง 2 ประเทศครอบคลุมจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพ ไทย-กัมพูชา (หนองเอี่ยน-สตึงบท) ตำบลท่าข้าม อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ตรงข้ามกับสตึงบท เมืองปอยเปต จังหวัดบ็อนเตียย์เมียนเจ็ย กัมพูชา ซึ่งปัจจุบันไทยและกัมพูชาเปิดให้มีการเดินรถสินค้าและรถโดยสารไม่ประจำทาง เฉพาะจุดผ่านแดนอรัญประเทศ ตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนสิทธิการจราจรระหว่างประเทศ ณ จุดผ่านแดน อรัญประเทศ-ปอยเปต ภายใต้กรอบความตกลง GMS CBTA ซึ่งมีโควตารถ 150 คัน/ประเทศ โดยไทยและกัมพูชาได้ออกใบอนุญาตขนส่งทางถนนข้ามพรมแดนไทย-กัมพูชาให้กับผู้ประกอบการขนส่งระหว่างประเทศ
ทั้งนี้กระทรวงคมนาคมจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ให้ความเห็นชอบร่างเอกสารทั้ง 2 ฉบับ ก่อนดำเนินการต่อไป โดยไทยพร้อมสนับสนุนการดำเนินงานตามความตกลง GMS CBTA รวมทั้งร่วมมือกับประเทศสมาชิก เพื่อพัฒนาด้านการขนส่งในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มศักยภาพด้านการคมนาคมขนส่งและสนับสนุนการยกระดับเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศไทยและประเทศสมาชิก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี