นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า คณะผู้บริหารระดับสูงของบริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ (Great Wall Motor : GWM) นำโดย นางสาวอู๋ ฮุ่ยเชียว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี พร้อมด้วย นายเจมส์ หยาง รองประธานตลาดต่างประเทศ นายเวย์น โจว กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย และทีมผู้บริหาร เข้าพบ เพื่อยืนยันการลงทุนระยะยา ในประเทศไทย และขอหารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมยานยนต์อัจฉริยะ และการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยให้ก้าวไปสู่ยานยนต์ไร้คนขับในอนาคต
สำหรับการเข้าพบครั้งนี้ มีวาระสำคัญเนื่องในโอกาสครบรอบ 35 ปี ของการก่อตั้ง บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในประเทศจีน โดยคณะผู้บริหารระดับสูงจากสำนักงานใหญ่ได้เดินทางมาเยี่ยมคารวะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อยืนยันว่าประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของ GWM และจะมีการลงทุนเพิ่มเติมในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในอนาคต พร้อมกันนี้ยังแสดงความเชื่อมั่นในการใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์ประเภท Pick-Up และ PPV สู่ตลาดโลก ภายใต้นโยบาย “70@30”
โดยจะใช้เครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ พร้อมรับประกันคุณภาพสูงถึง 1,000,000 กิโลเมตร รวมถึงการเตรียมเปิดตัวรถยนต์ BEV รุ่นใหม่ในประเทศไทยในช่วงต้นปี 2569 ซึ่งจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ติดตั้งเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Intelligent) เพื่อยกระดับมาตรฐานยานยนต์ไฟฟ้าให้ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่และแนวโน้มของตลาดโลก
ทั้งนี้ปัจจุบัน GWM มีโรงงานตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นเขตประกอบการเสรี (Free Zone) โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2563 หลังเข้าซื้อกิจการจากบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส ประเทศไทย และได้กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีนรายแรกที่ส่งออกรถยนต์จากประเทศไทยไปยังต่างประเทศเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่ง GWM ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สำหรับการผลิตรถยนต์ HEV, PHEV และ BEV รวมกำลังการผลิตมากกว่า 30,000 คันต่อปี และยังได้เข้าร่วมมาตรการส่งเสริมการใช้ EV ของรัฐ ทั้งในโครงการ EV3.0 และ EV3.5
“วันนี้คือบทพิสูจน์ว่าไทยไม่ใช่เพียงตลาดปลายทาง แต่คือศูนย์กลางการผลิตและนวัตกรรมของโลก ซึ่ง GWM แสดงความเชื่อมั่นอย่างชัดเจนว่าไทยคือพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ รัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรมยินดีอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนการลงทุนในทุกมิติ ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน สิทธิประโยชน์ และบุคลากร เพื่อให้ไทยก้าวไปสู่ศูนย์กลาง EV และยานยนต์ไร้คนขับของภูมิภาคอาเซียน”นายเอกนัฏ กล่าว
ส่วนความก้าวหน้าของนโยบายอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย ภายใต้เป้าหมาย “30@30” ที่ต้องการให้รถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทยอย่างน้อย 30% เป็นรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2573 พร้อมชี้แจงการดำเนินนโยบายใน 3 มิติ ได้แก่ 1.การส่งเสริมด้านอุปทาน เช่น การผลิต BEV และชิ้นส่วนหลักอย่างแบตเตอรี่ระดับเซลล์ ซึ่งมีโครงการที่ได้รับการส่งเสริมรวมแล้วกว่า 60,000 ล้านบาท 2. ด้านอุปสงค์ เช่น มาตรการ EV3, EV3.5 การลดภาษีนิติบุคคล เป็นต้น และ3. ด้านการสร้างระบบนิเวศ เช่น การขยายสถานีชาร์จไฟฟ้าให้ครบ 12,000 หัวจ่ายภายในปี 2573 การจัดตั้งศูนย์ทดสอบ ATTRIC การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนด้าน EV และการวางมาตรฐาน โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)
ทั้งนี้กระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมออกแนวทางและกฎหมายเพื่อจัดการซากรถและแบตเตอรี่ใช้แล้วให้เกิดการรีไซเคิลอย่างยั่งยืน พร้อมส่งเสริมการผลิตรถยนต์ HEV และ MHEV ภายในประเทศ ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษหากมีการลงทุนไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท และใช้ชิ้นส่วนในประเทศตามเงื่อนไข รวมถึงการสนับสนุนการติดตั้งระบบขับขี่อัตโนมัติ (ADAS) ในรถยนต์รุ่นใหม่
"การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นแบตเตอรี่ แต่หมายถึงการยกระดับทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรม รัฐบาลพร้อมเปิดกว้างต่อเทคโนโลยีทุกรูปแบบที่ช่วยลดมลพิษ เพิ่มความปลอดภัย และตอบโจทย์ตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็น BEV, HEV, MHEV หรือแม้แต่ยานยนต์ไร้คนขับ ทั้งนี้ ประเทศไทยยังตั้งเป้าเป็นฐานการผลิต EV เพื่อการส่งออก โดยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านมาตรฐาน การทดสอบ การรับรองคุณภาพ และการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้กรอบ FTA กับทั้งประเทศคู่ค้าเดิม และการเจรจาใหม่ เช่น อาเซียน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ตะวันออกกลาง และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์"นายเอกนัฏ กล่าว
-033
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี