ทรู คอร์ปอเรชั่น เสนอแนวคิด Data for Good ที่ AI ทำหน้าที่ด้วยความสุภาพ ปราศจากอคติ ออกแบบโดยยึดคนเป็นศูนย์กลาง
ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วราวกับ “Perfect Storm” พายุที่เร่งขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้าอย่างก้าวกระโดด ทุกสิ่งเชื่อมต่อกันแบบไร้รอยต่อ ตั้งแต่ภาคอุตสาหกรรม เมือง ไปจนถึงชีวิตผู้คน ทั้งหมดนี้ ล้วนสร้าง “ดาต้า” ขึ้นอย่างมหาศาล ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าภายในสิ้นปีนี้ โลกจะสร้างดาต้ามากถึง 181 เซตตะไบต์ โดย 1 เซตตะไบต์ เทียบเท่ากับการดูวิดีโอที่ความคมชัดระดับ HD นานถึง 36 ล้านปี
คำถามสำคัญคือ เราจะเปลี่ยนดาต้าจำนวนมหาศาลนี้ให้กลายเป็นพลังเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกได้อย่างไร? ในเวที GCNT Expo 2025 จัดโดยสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) ซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ร่วมแบ่งปันมุมมอง ในหัวข้อ “Data for Good: Greener Planet, Inclusive Society and Stronger Governance” เสนอแนวทางการใช้ประโยชน์จากดาต้า ควบคู่ไปกับเทคโนโลยี AI ขับเคลื่อนอนาคตที่ยั่งยืน ครอบคลุมทุกมิติ ESG
Data For a Greener Planet: ขับเคลื่อนเครือข่ายด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะและพลังงานสะอาด
ทรู คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าลดการใช้พลังงานและต้นทุนอย่างต่อเนื่อง หลังการควบรวมกิจการ บริษัทฯ สามารถลดการใช้พลังงานลงได้ 9% และลดต้นทุนด้านพลังงานลง 19% พร้อมตั้งเป้าเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานในระบบเครือข่ายทั่วประเทศภายใน 3 – 5 ปีข้างหน้า ผ่านการใช้พลังงานหมุนเวียน การอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐาน และการใช้ AI เข้ามาช่วยบริหารจัดการพลังงานในสถานีฐานกว่า 10,000 แห่ง โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา ทรูสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่สถานีฐานได้ถึง 14,051 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้กว่า 1.4 ล้านต้น นอกจากนี้ ยังร่วมกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม “Greenhouse Gas Emissions Data Platform” เพื่อสนับสนุนพันธมิตรซัพพลายเชน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย Net Zero ไปพร้อมกัน
Data For Good: ดึง Mobility Data ปั้นซัพพลายใหม่ท่องเที่ยวไทย แก้ท่องเที่ยวชะลอตัว ด้วยแนวคิด “Cluster Tourism”
ข้อมูลการใช้บริการมือถือ (Mobility Data) สามารถนำมาแก้ปัญหาใหญ่ๆ ของประเทศได้ หนึ่งในตัวอย่างความร่วมมือกับหลายภาคี คือการนำข้อมูลการใช้บริการมือถือมาชุบชีวิตอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโตอย่างเชื่องช้า กล่าวคือ ย้อนกลับไปปี 2562 ก่อนโควิด-19 การท่องเที่ยวสร้างรายได้สูงถึง 19% ของ GDP ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 40 ล้านคน แต่หลังการระบาด ทิศทางการท่องเที่ยวเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ประเทศเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่นและเวียดนามฟื้นตัวเร็ว เติบโตถึง 112% และ 68% ตามลำดับ ขณะที่ไทยฟื้นตัวเพียง 47% ต่ำกว่าระดับก่อนโควิดถึง 12% แม้การท่องเที่ยวจะเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย แต่ก็ยังเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งภาวะ “นักท่องเที่ยวล้นเมือง” (overtourism) กระจุกตัวอยู่แค่ในบางพื้นที่ เกิดความเหลื่อมล้ำในกลุ่มเมืองรอง
“การนำ Mobility Data มาใช้ประโยชน์ คืออีกหนึ่งแนวทางสำคัญที่จะช่วยฟื้นฟูการท่องเที่ยวไทยให้ยั่งยืน ทั่วถึง และเท่าเทียมยิ่งขึ้น ข้อมูลการเดินทางช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมนักท่องเที่ยวในเชิงลึก และมองเห็นรูปแบบการเดินทางใหม่ที่สามารถต่อยอดสู่การพัฒนาเป็น 'เมืองน่าเที่ยว' ภายใต้กลยุทธ์ 'Cluster Tourism' เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวพักค้างคืนในเมืองรอง และเพิ่มการกระจายรายได้สู่คนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง” ซิกเว่ กล่าว
จากการวิเคราะข้อมูลการเดินทางผ่านการใช้งานโทรศัพท์มือถือแบบไม่ระบุตัวตน (Mobility Data) ตามนโยบายปกป้องคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัดนั้น พบว่าเส้นทางการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพ มีจำนวนถึง 21 เส้นทาง โดยอาศัยเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่เชื่อมโยงเป็นเส้นทางการเดินทางใหม่ ตัวอย่างหนึ่งคือ คลัสเตอร์ภาคเหนือ เชียงใหม่–ลำพูน–ลำปาง แม้พื้นที่นี้จะมีศักยภาพสูง แต่นักท่องเที่ยวเพียง 20% เท่านั้นที่ค้างคืนในลำพูนและลำปาง ข้อมูลยังชี้ว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ชื่นชอบวัฒนธรรมและมีศักยภาพการใช้จ่ายสูง เป็นกลุ่มเป้าหมายที่สามารถพัฒนาได้ จากข้อมูลเชิงลึกนี้ นำไปสู่ข้อเสนอแนะในการวางนโยบายและจัดแคมเปญที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กีฬากอล์ฟ และวัฒนธรรม เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย เดินทางมาพักค้างในจังหวัดที่มีอัตราการพักค้างต่ำ สร้างรายได้อย่างเท่าเทียม
Data Meets Governance: ใช้ AI อย่างมีจริยธรรม สะท้อนหลักธรรมาภิบาลที่เข้มงวด
ทรู คอร์ปอเรชั่น ย้ำจุดยืนด้านธรรมาภิบาลในยุคปัญญาประดิษฐ์ โดยเฉพาะในเรื่องการใช้ข้อมูลเพื่อฝึกระบบ AI ให้มีจริยธรรมและโปร่งใส โดยปัจจุบัน ทรู ได้เทรน AI มาแล้วกว่า 62 กรณีการใช้งาน (AI Use Cases) ภายใต้ 4 เสาหลักการใช้ AI อย่างมีจริยธรรม (Responsible AI Guidelines) ที่เคร่งครัด
1. โปร่งใส (Transparency) – “น้องมะลิ AI” คือผู้ช่วยที่คอยให้บริการตอบคำถาม และช่วยเหลือลูกค้า โดยทรูออกแบบประสบการณ์การใช้งานให้ลูกค้ารับทราบอยู่ตลอดเวลาว่า กำลังสนทนาอยู่กับ “น้องมะลิ AI” ไม่ใช่เจ้าหน้าที่บุคคล ทั้งนี้ การบริการ AI ต้องให้ข้อมูลที่ชัดเจนและอธิบายได้อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง และแสดงตนว่าเป็น AI กำลังให้บริการ
2. เคารพสิทธิมนุษยชน (Respect for Human Rights) – เคารพความเป็นส่วนตัว และเสรีภาพของแต่ละบุคคล ไม่ทำร้ายผู้ใช้บริการ
3. เป็นธรรมและลดอคติ (Fairness and Inclusion) – สร้างความมั่นใจว่า AI จะให้ผลลัพธ์อย่างเท่าเทียม ปราศจากอคติ และไม่เลือกปฏิบัติต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
4. ออกแบบโดยยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-Centered Design) – ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย โดย AI จะไม่ให้คำตอบที่ขาดเหตุผลที่ชัดเจน และหากไม่สามารถตอบคำถามของผู้ใช้ได้ ระบบจะแนะนำข้อมูลหรือช่องทางติดต่อที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสมและโปร่งใส
และทั้งหมดนี้ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของข้อมูลหรือเทคโนโลยี แต่คือ "การใช้ข้อมูล และ AI เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมาย" ทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น และนี่คืออนาคตที่ทรู คอร์ปอเรชั่น เชื่อมั่นและอนาคตที่เรากำลังร่วมกันสร้างเพื่อประเทศชาติ เพื่อโลกที่ยั่งยืน และเพื่อทุกคน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี