นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนกรกฎาคม 2568 (สำรวจระหว่างวันที่ 21-31 กรกฎาคม 2568) พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index : ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” ที่ระดับ 81.06 โดยนักลงทุนมองว่าการไหลเข้าของเงินทุน เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการปรับตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ การถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ รองลงมาคือสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ
ทั้งนี้ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนกรกฎาคม 2568 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้ 1.ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ตุลาคม 2568) อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (ช่วงค่าดัชนี 80-119) ที่ระดับ 81.06 ,2.กลุ่มนักลงทุนสถาบันอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” กลุ่มนักลงทุนบุคคล อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” ในขณะที่กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” ,3.หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดการแพทย์ (HELTH) ,4.หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุดคือ หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (PROP) ,5.ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดคือ การไหลเข้าของเงินทุน ,6.ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดคือ การถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ
นายกอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า ผลสำรวจ ณ เดือนกรกฎาคม รายกลุ่มนักลงทุนพบว่าความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล ปรับเพิ่ม 71.6% อยู่ที่ระดับ 87.01 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับเพิ่ม 172.2% อยู่ที่ระดับ 77.78 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับเพิ่ม 117.6% อยู่ที่ระดับ 138.46 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศทรงตัวอยู่ที่ระดับ 66.67 และในช่วงครึ่งแรกของเดือนกรกฎาคม 2568 ตลาดทุนไทยได้รับผลกระทบหลักจากความไม่แน่นอนทางการเมือง หลังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสั่งน.ส.แพทองธาร ชินวัตร พักการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี เพื่อตรวจสอบกรณีคลิปเสียงหลุดกับฮุน เซน ของกัมพูชา ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ความขัดแย้งชายแดนกับกัมพูชา รวมถึงผลการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ รอบแรกเข้าสู่จุดตึงเครียด เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันเก็บภาษีนำเข้าไทยในอัตรา 36% ในขณะที่ประเทศคู่แข่งในอาเซียนหลายรายสามารถเจรจาลดภาษีได้สำเร็จแล้ว อย่างไรก็ตามสถานการณ์ปรับตัวดีขี้นในช่วงปลายเดือน จากการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชา และการเจรจาอัตราภาษีนำเข้าจากไทยจบที่ 19% ระดับเดียวกับภูมิภาค โดย SET Index ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2568 ปิดที่ 1,242.35 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.02% จากเดือนก่อนหน้า ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ 41,971 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 16,121 ล้านบาท ตั้งแต่ต้นปี 2568 นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิรวม 62,569 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ หลังสหรัฐฯบรรลุข้อตกลงการค้าในหลายประเทศ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งในตะวันออกกลาง และสถานการณ์กัมพูชา-ไทย ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ผลการวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ซึ่งจะมีผลต่อความไม่แน่นอนของรัฐบาลหรือการยุบสภา ท่าทีของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ต่อการคงหรือปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 3 ปี 2568 ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2 ปี 2568 และโอกาสในการเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยในดัชนี MSCI และ FTSE ที่จะประกาศในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสที่เงินทุนไหลเข้าหุ้นไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี