นายธนรรจ์ ศตวุฒิ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย เอ็น ดี ที จำกัด(มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าและพลังงานสะอาด ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และสร้างอนาคตที่ยั่งยืน แต่ในขณะเดียวกัน ปัญหาเพลิงไหม้แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งยังเป็นความท้าทายด้านความปลอดภัยที่ไม่อาจมองข้ามได้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ TN EV จึงเป็นพันธกิจสำคัญของบริษัทที่ต้องการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้รถ EV ที่มีแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนเป็นส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์อื่นๆที่มีแบตเตอร์รี่ลิเธียม-ไอออน เป็นส่วนประกอบเช่นกัน บริษัทฯพร้อมสนับสนุนให้หน่วยงานด้านความปลอดภัย มีความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ 

ปัจจุบันประเทศไทยมีรถยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมมากกว่า 280,600 คัน เติบโตมากกว่า 60% ต่อปี และคาดว่าจะทะลุ 1.2 ล้านคันภายในปี 2030 (ตามนโยบาย 30@30) ตัวเลขนี้สะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของเราทุกคน การเปิดตัว TN EV เป็นการตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยของแบตเตอร์รี่ลิเธียม-ไอออน และยังเป็นมีส่วนช่วยลดพิษทางอากาศ ตามประกาศวิสัยทัศน์ของบริษัท ไทย เอ็น ดี ที จำกัด (มหาชน) ในการสร้างนวัตกรรมเพื่ออนาคตยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอาเซียนอย่างมั่นคงและยั่งยืน

นายธนรรจ์ กล่าวว่า สำหรับคุณสมบัติเด่นของถังดับเพลิง TN-EV ได้แก่ 1. สารดับเพลิงเฉพาะทาง SF2700 พัฒนาสำหรับจัดการเพลิงไหม้แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนและเหตุการณ์ Thermal Runaway โดยเฉพาะ ปลอดภัย ไม่เป็นมลพิษและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ,2.ประสิทธิภาพการระบายความร้อนสูง ที่สามารถลดอุณหภูมิได้รวดเร็วกว่าเมื่อใช้น้ำหรือสารดับเพลิงทั่วไป (โฟม, ผงเคมี) ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพตั้งแต่อุณหภูมิ 70°C ช่วยชะลอการลุกลามของเพลิง ,3.ลดการเกิดก๊าซพิษ HF ซึ่งจะสามารถลดการสลายตัวของสาร LiPF₆ ในแบตเตอรี่ ทำให้ความเข้มข้นของก๊าซ HF ลดลงเหลือต่ำกว่า 50 ppm เพิ่มความปลอดภัยหลังการดับเพลิง ,4.การซึมผ่านและกระจายตัวสูงซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารลดแรงตึงผิว ทำให้น้ำซึมเข้าสู่เซลล์แบตเตอรี่ได้ง่าย กระจายตัวบนพื้นผิวได้ดี เพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนและดับเพลิง และ5.ความเข้มข้นการใช้งานต่ำ ซึ่งใช้งานได้ที่ความเข้มข้นเพียง 0.5%–2% ทำให้ประหยัดและคุ้มค่า

นายธนรรจ์ กล่าวต่อว่า ถังดับเพลิง TN EV พร้อมจำหน่ายใน 4 ขนาดมาตรฐาน เพื่อรองรับการใช้งานทุกสถานการณ์ และยกระดับความปลอดภัยให้ทุกการขับเคลื่อน ได้แก่ ขนาด 1 ลิตร ราคา 1,500 บาท ,ขนาด 2 ลิตร ราคา 2,200 บาท ,ขนาด 6 ลิตร ราคา 6,150 บาท และขนาด 10 ลิตร ราคา 10,500 บาท

นายนันท์ธวัต อุณหเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วีไอ นาโนเทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาเพลิงไหม้แบตเตอรี่ลิเธียม-ไออน ได้เกิดบ่อยครั้ง ทำให้ บมจ. ไทย เอ็น ดี ที และบ. วีไอ นาโนเทคโนโลยี ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ตลอดถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยได้เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ความปลอดภัยคือเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้การเติบโตนี้ยั่งยืน เราได้เล็งเห็นชัดเจนว่าถังดับเพลิงในปัจจุบันยังไม่สามารถเข้าถึงการดับเพลิงในระดับเซลล์ของแบตเตอรี่ได้อย่างแท้จริง นั้นคือจะทำอย่างไรให้ประเทศไทยมีเทคโนโลยีเฉพาะทางเพื่อแก้ไขปัญหานี้ได้ ดังนั้นการนำเข้า TN EV ถังดับเพลิงที่ออกแบบมาเพื่อการจัดการเพลิงไหม้แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนโดยเฉพาะ ซึ่งไม่เพียงเติมเต็มช่องว่างของตลาด แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ บมจ.ไทย เอ็น ดี ที ต้องการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ดังนั้นจึงเกิดเป็นการทดสอบถังดับเพลิง TN EV ในวันนี้ โดยมีมหาวิทยาลัยสยาม ภาควิชาวิศวกรรม ทำหน้าที่ควบคุมและกำกับกระบวนการทดสอบอย่างเป็นระบบ การทดสอบครอบคลุมหลายสถานการณ์จริง ได้แก่ 1. การเจาะทะลุแบตเตอรี่เพื่อจำลองความเสียหายภายใน แสดงให้เห็นถึงความสามารถของสารดับเพลิงเพื่อหยุดยั้งการลุกลามภายในเซลล์แบตเตอรี่ ,2.Over charge หรือการชาร์จไฟเกิน ทำให้เกิดความร้อนสูง เป็นการทดสอบประสิทธิภาพการลดอุณหภูมิอย่างรวดเร็วและยับยั้งปฏิกิริยา Thermal Runaway และ3.การดับเพลิงทั่วไปประเภทไม้และน้ำมัน เป็นการทดสอบคุณสมบัติอเนกประสงค์ของถังดับเพลิงในการจัดการเพลิงไหม้ ซึ่งผลการทดสอบในทุกสถานการณ์ตอกย้ำคุณสมบัติของ TN EV ให้เห็นถึงคุณสมบัติเด่น และประสิทธิภาพสูงสูดในการรับมือเหตุเพลิงไหม้ที่ซับซ้อน ด้วยความสามารถในการดับเพลิงได้อย่างรวดเร็ว และเข้าถึงต้นเหตุในระดับเซลล์ของแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนได้ ลดการลุกลามและความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ TN EV จึงเป็นการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยการการใช้รถ EV และผู้ประกอบการสามารถเชื่อมั่นและวางใจได้อย่างแท้จริง และสิ่งแวดล้อมให้มั่นคงและยั่งยืน