นางสาวอรอนงค์ ชัยธง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ กล่าวว่า บริษัท พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์ จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์ ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล หรือ “PROSPECT REIT” โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2568 รายได้รวม 179.87 ล้านบาท เติบโต 25.50% และมีกำไรจากการดำเนินงานทั้งสิ้น 98.69 ล้านบาท สูงขึ้น 29.38% จากไตรมาสก่อน จากการที่เข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมครั้งที่ 3 เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้กองทรัสต์รับรู้รายได้ได้ทันที โครงการคลังสินค้าและโรงงานให้เช่าคุณภาพสูงที่ลงทุนเพิ่มเติมครั้งล่าสุด โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 1, 2 และ 3 (BFTZ 1, 2, 3) เป็นของสปอนเซอร์หลัก บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด มีอัตราการเช่าแข็งแกร่ง พร้อมด้วยสิทธิประโยชน์ของพื้นที่ Free Zone ดีมานด์จากผู้ประกอบการหนาแน่นต่อเนื่อง หนุนให้ไตรมาส 2 ผลงานดีตามคาด อัตราการเช่าเฉลี่ยรวมทุกโครงการพุ่งสูงถึง 97.62% ลุยปักธงโตต่อ เตรียมขออนุมัติผู้ถือหน่วยเพื่อลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมครั้งที่ 4 โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 6 (BFTZ 6) ในวันที่ 18 กันยายน 2568

โดย PROSPECT REIT ได้ประกาศจ่ายประโยชน์ตอบแทนสำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568 (1.5 เดือน) ในอัตรา 0.0900 บาทต่อหน่วยทรัสต์ กำหนดขึ้นเครื่องหมายวันที่ไม่ได้รับสิทธิรับเงินปันผล (XD) วันที่ 28 สิงหาคม 2568 และจะจ่ายเงินออกให้แก่ผู้ถือหน่วยในวันที่ 12 กันยายน 2568 ทำให้ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 จ่ายเงินออกให้แก่ผู้ถือหน่วยไปทั้งสิ้น 0.3950 บาทต่อหน่วย อยู่ในระดับที่ดีตามคาดการณ์

ผลงานไตรมาส 2 นี้ พิสูจน์ให้เห็นถึงคุณภาพของทรัพย์สินทั้งโครงการเดิมและโครงการใหม่ที่ PROSPECT REIT เข้าลงทุน ตลอดจนกลยุทธ์การบริหารจัดการอย่างรัดกุม กระจายความเสี่ยงในทุกด้าน เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ PROSPECT REIT สามารถเติบโตท่ามกลางความไม่แน่นอน สะท้อนผ่านตัวเลขผลการดำเนินงานแข็งแกร่งมาโดยตลอด ทั้งรายได้ อัตราการเช่า และอัตราค่าเช่าที่สูงสม่ำเสมอ ประกอบกับผู้เช่าประกอบกิจการเป็นโรงงานกว่า 72% และมีพื้นที่ Free Zone เขตปลอดอากรมากกว่า 60% ผู้ประกอบการมีแนวโน้มลงทุนระยะยาว จึงสร้างความมั่นคงให้พอร์ตเติบโตอย่างยั่งยืน ขณะที่อัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐอเมริกาที่มีต่อไทย ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้เช่าในโครงการแต่อย่างใด อีกทั้งอัตราภาษีที่ได้รับการยืนยันล่าสุด จากเดิม 36% เหลือ 19% ทำให้ผู้ประกอบกิจการมีความมั่นใจมากขึ้นในการตัดสินใจเริ่มดำเนินกิจการหรือขยายกำลังการผลิต”

ปัจจุบัน PROSPECT REIT มีทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการทั้งหมด 4 โครงการ พื้นที่ให้เช่ารวม 514,010 ตร.ม. โดดเด่นด้วยจุดแข็งด้านที่ตั้งบนทำเลยุทธศาสตร์ของภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์บริเวณถนนบางนา-ตราด จังหวัดสมุทรปราการ กลุ่มอุตสาหกรรมผู้เช่า 5 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจยานยนต์ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลและเวชภัณฑ์ ธุรกิจหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ ส่วนใหญ่ครอบคลุมผู้ประกอบการไทยจีน และญี่ปุ่น ตามลำดับ กระจายตัวหลากหลายไม่มีผู้เช่ารายใดใน 10 อันดับแรกครองพื้นที่เกิน 10%

“แนวโน้มผู้เช่ารายใหม่ที่เข้ามาในโครงการล้วนเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตมั่นคง อาทิ โครงการ BFTZ 3 ถนนบางนา-ตราด กม.19 จะเห็นดีมานด์ของกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ และธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทุกโครงการภายใต้กองทรัสต์สามารถรองรับได้ทุกกลุ่มธุรกิจ ขณะเดียวกัน ปัจจัยด้านตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ครึ่งปีแรกขยายตัวต่อเนื่อง เงินลงทุนรวม 737,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132% ตอกย้ำว่าไทยยังเป็นประเทศที่นักลงทุนไว้วางใจและทิศทางของภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น โฟกัสหลักของผู้จัดการกองทรัสต์หลังจากนี้ จะเน้นรักษาฐานลูกค้ารายเดิม ซึ่งเราเห็นภาพสัดส่วนการเช่าอาคารโรงงานเป็นหลัก ช่วยทำให้พอร์ตมีรายได้มั่นคงขึ้น ในส่วนของการลงทุนเพิ่มเติมในอนาคต มุ่งเน้นการลงทุนทั้งรูปแบบ Leasehold ที่ยาวขึ้น และเพิ่มเติมการลงทุนรูปแบบ Freehold การลงทุนเพิ่มเติมในแต่ละครั้งจึงมีเป้าหมายชัดเจน ต้องเป็นทรัพย์สินที่สามารถสร้างรายได้ทันที และอยู่ในระดับสูงสม่ำเสมอ จึงจะสามารถส่งต่อผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยได้เป็นอย่างดี” นางสาวอรอนงค์ กล่าวเสริม

สำหรับแผนการลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมครั้งที่ 4 โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 6 (BFTZ 6) ถนนบางนา-ตราด กม.19 เป็นการลงทุนในสิทธิการเช่าช่วงที่ดินบางส่วนและลงทุนกรรมสิทธิ์ในอาคารระยะยาว ไม่เกิน 29 ปี พื้นที่ให้เช่ากว่า 50,748 ตร.ม. มีอัตราการเช่าเต็ม 100% โดยเงินทุนที่จะใช้ในการลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมครั้งที่ 4 นั้น จะมาจากเงินทุนหมุนเวียนของ PROSPECT REIT และเงินกู้ระยะยาว มูลค่ารวมไม่เกิน 970 ล้านบาท สำหรับการลงทุนครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้และสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยทรัสต์ และหากได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหน่วยทรัสต์ให้เข้าลงทุน คาดว่าจะขยายมูลค่าสินทรัพย์รวมทะลุ 9,800 ล้านบาท

-032