บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 388.5 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 93.3 ล้านบาท ลดลง 27% และ 33% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568 ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกปี 2568 มีการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์รวม 189.5 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 3.4 ล้านหน่วย จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 922.9 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 232.8 ล้านบาท ทั้งนี้เตรียมจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอัตรา 0.40 บาทต่อหุ้น ส่วนครึ่งปีหลัง 2568 รับผลบวกจากโครงการ Kagoshima Oura Mega Solar ที่ร่วมลงทุนในสัดส่วน 20% และมาตรการลดหย่อนภาษีจากการติดตั้งโซลาร์รูฟบ้านอยู่อาศัยในไทย ซึ่งช่วยกระตุ้นดีมานด์ให้เพิ่มขึ้น
ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกปี 2568 ว่า ธุรกิจโซลาร์ฟาร์ม มีปริมาณการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์รวมทั้งสิ้น 189.5 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 3.4 ล้านหน่วย จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ไตรมาส 2/2568 บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 388.5 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 93.3 ล้านบาท ลดลง 27% และ 33% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568 ที่มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 534.4 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 139.5 ล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกปี 2568 มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 922.9 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 232.8 ล้านบาท
ทั้งนี้จากการประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริษัทจึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลจากกำไรสะสมในอัตรา 0.40 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงิน 422,316,000 บาท โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD (Excluding Dividend) วันที่ 1 กันยายน 2568 และจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลวันที่ 12 กันยายน 2568 ซึ่งตอกย้ำความแข็งแกร่งของการดำเนินธุรกิจและฐานะทางการเงินของบริษัท
ในขณะที่การดำเนินงานครึ่งปีหลัง 2568 จะได้รับผลดีต่อเนื่องจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Kagoshima Oura Mega Solar ในเมืองคาโนยะ จังหวัดคาโกชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ที่เริ่มผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ (COD) ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2568 ซึ่งบริษัทร่วมลงทุนกับ TESS Holdings Co., Ltd. ในสัดส่วน 20% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 85,282,000 เยน และมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในบ้านอยู่อาศัยสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติเมื่อเดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา เพื่อสนับสนุนประชาชนอนุรักษ์พลังงานและเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน ซึ่งจะส่งผลดีต่อความต้องการติดตั้งโซลาร์รูฟที่เพิ่มขึ้น
“SPCG วางแผนมุ่งขยายการลงทุนธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนด้านพลังงาน และเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจรวมถึงความมั่นคงแก่ผลการดำเนินงานในระยะยาว ทั้งนี้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Kagoshima Oura Mega Solar ดำเนินการโดย Kagoshima Oura Solar LLC มีกำลังการผลิตไฟฟ้าประมาณ 8.02 เมกะวัตต์ (MW) มีบริษัท Tess Engineering Co., Ltd. ในเครือของกลุ่ม Kazuki Yamamoto และเป็นพันธมิตรของ SPCG มาอย่างยาวนาน รับผิดชอบการดำเนินงานด้านวิศวกรรม จัดซื้อจัดจ้าง และก่อสร้าง (EPC) ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 และดำเนินการส่งมอบโครงการสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยเมื่อเดือนมีนาคม 2568 รวมถึงเริ่มผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ (COD) ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2568 โดยมี Kyushu Electric Power Co., Inc. เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้า เป็นระยะเวลา 18 ปี 1 เดือน อัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT ที่ 36 เยนต่อหน่วย ทั้งนี้ SPCG คาดว่าจะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนตั้งแต่ไตรมาส 2/2569 ซึ่งจะเสริมความแข็งแกร่งแก่ผลการดำเนินงานของ SPCG สำหรับการลงทุนครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ SPCG ในการขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ ตามเป้าหมายเป็นผู้นำในการลดคาร์บอนและขับเคลื่อนการใช้พลังงานสะอาด โดย SPCG มุ่งมั่นหาโอกาสขยายการลงทุนในโครงการพลังงานที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงานที่ยั่งยืน”ดร.วันดี กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี