นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 – 11 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ได้นำคณะสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ซึ่งนำโดยนายกสมาคมฯ (ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์) และนายกกิตติมศักดิ์ของสมาคมฯ (นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์) พร้อมผู้ส่งออกข้าวไทย เดินทางเยือนกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อพบปะหารือและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้ากับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของญี่ปุ่นที่มีบทบาทสำคัญ
ต่อการค้าข้าวระหว่างไทยกับญี่ปุ่น และเพื่อรักษาตลาดข้าวไทยในญี่ปุ่น
กรมฯ ได้นำคณะผู้ส่งออกข้าวไทยเข้าพบอธิบดีกรมผลิตผลการเกษตร (Crop Production Bureau) ของกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น (Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries: MAFF) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลการนำเข้าข้าวของญี่ปุ่น โดยทั้ง 2 ฝ่ายได้แลกเปลี่ยนสถานการณ์การค้าข้าวระหว่างกัน ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นให้ข้อมูลว่า เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ราคาข้าวในญี่ปุ่นแพงขึ้นประมาณ 2 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และแม้ว่าปัจจุบันราคาจะลดลง แต่ยังสูงกว่าปีก่อนประมาณ 1.4 เท่า เนื่องจากปริมาณผลผลิตข้าวในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ ทั้งนี้ ฝ่ายไทยแจ้งว่า ในแต่ละปี
ไทยผลิตข้าวได้ประมาณ 20 – 22 ล้านตัน โดยในปีนี้คาดว่า ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากปริมาณน้ำฝนเพียงพอและเหมาะสมต่อการเพาะปลูกข้าวของไทย ส่งผลให้ไทยมีผลผลิตข้าวเพียงพอที่จะส่งมอบให้กับญี่ปุ่นในราคาที่เหมาะสมและแข่งขันได้ ซึ่งคาดว่าในปี 2568 ไทยจะส่งออกข้าวได้ตามเป้าที่กำหนดไว้ 7.5 ล้านตัน โดยกรมฯ ได้ขอบคุณฝ่ายญี่ปุ่นที่นำเข้าข้าวไทยอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด และขอให้ยังคงนำเข้าข้าวไทยในปริมาณประมาณ 300,000 ตันทุกปีต่อไป
นอกจากนี้ กรมฯ และคณะผู้ส่งออกข้าวไทยได้พบกับบริษัท Overseas Merchandise Inspection Company (OMIC) ซึ่งเป็นหน่วยงานตรวจสอบคุณภาพข้าวนำเข้าของญี่ปุ่น โดยบริษัท OMIC ได้ชื่นชมคุณภาพและมาตรฐานข้าวไทย พร้อมทั้งขอบคุณผู้ส่งออกข้าวไทยที่ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามข้อกำหนดการส่งข้าวมายังญี่ปุ่นโดยเฉพาะในด้านการบรรจุสินค้าข้าวและการควบคุมสารต้องห้ามต่างๆ ในข้าว และยังได้พบกับบริษัทนำเข้าข้าวรายสำคัญของญี่ปุ่น ได้แก่ บริษัท Kitoku Shinryo Co., Ltd. บริษัท ITOCHU Food Sales and Marketing Co., Ltd. และบริษัท Kanematsu Corporation ซึ่งต่างชื่นชมในคุณภาพและมาตรฐาน รวมทั้งรสชาติและคุณสมบัติของข้าวไทยที่เหมาะสมสำหรับนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตสาเก และขนมเซมเบ้ ในขณะเดียวกันผู้ส่งออกข้าวไทยได้เยี่ยมชมโรงงาน Sanshin Co., Ltd.
ซึ่งเป็นโรงงานผู้ผลิตและผู้จำหน่าย Rice Crackers ที่ใช้แป้งข้าวเหนียวไทยประมาณร้อยละ 80 – 90 ของปริมาณแป้งข้าวเหนียวที่ใช้ทั้งหมด โดยบริษัทฯ ให้เหตุผลว่า คุณภาพและคุณสมบัติของแป้งข้าวเหนียวไทยเมื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ทำให้รสชาติถูกปากและเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคในญี่ปุ่น อีกทั้งต้นทุนการผลิตไม่สูงเท่ากับการใช้แป้งข้าวเหนียวของญี่ปุ่นด้วย ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้ขอบคุณบริษัทที่สนับสนุนนำเข้าแป้งข้าวเหนียวจากไทยมาอย่างต่อเนื่อง และเสนอให้สนับสนุนนำเข้าน้ำมันปาล์มจากไทยเพื่อนำมาใช้ประกอบการผลิตสินค้าดังกล่าวด้วย
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของข้าวไทย โดยปัจจุบันเป็นอันดับ 7 ของตลาดส่งออกข้าวไทย ซึ่งแต่ละปีไทยส่งออกข้าวไปญี่ปุ่นประมาณ 257,000 – 336,000 ตัน ครองส่วนแบ่งตลาดนำเข้าข้าวของญี่ปุ่นประมาณร้อยละ 37 – 45 ขณะที่ญี่ปุ่นนำเข้าข้าวจากต่างประเทศตามข้อตกลง WTO ประมาณ 770,000 ตัน/ปี ซึ่งแหล่งนำเข้าข้าวที่สำคัญของญี่ปุ่น ได้แก่ สหรัฐฯ และไทย โดยสลับกันครองส่วนแบ่งตลาดนำเข้าข้าวอันดับ 1 ของญี่ปุ่น สำหรับข้าวไทยที่ส่งออกไปญี่ปุ่นเป็นข้าวเมล็ดยาว ได้แก่ ข้าวขาว และข้าวเหนียว ซึ่งถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมสาเก และ rice cracker นอกจากนี้ ยังมีข้าวหอมมะลิไทย ซึ่งถูกนำไปใช้ในร้านอาหาร ส่วนแหล่งนำเข้าข้าวจากประเทศอื่นเป็นข้าวเมล็ดกลางและเมล็ดสั้น จากการเดินทางเยือนญี่ปุ่นในครั้งนี้ เห็นได้ว่า ข้าวไทยเป็นที่ชื่นชอบและเป็นที่ต้องการในตลาดญี่ปุ่นมาก ดังนั้น จึงเชื่อมั่นได้ว่า ไทยยังสามารถครองส่วนแบ่งตลาดนำข้าวของญี่ปุ่นโดยติด 1 ใน 3 อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งครองใจผู้บริโภคและผู้นำเข้าข้าวไทยในญี่ปุ่นอีกยาวนาน
-032
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี