คาดทองพุ่งบาทละ7.5หมื่น สงครามการค้าสหรัฐกับจีนเป็นเหตุ

คาดทองพุ่งบาทละ7.5หมื่น สงครามการค้าสหรัฐกับจีนเป็นเหตุ

วันพุธ ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 07.30 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาทองคำ เปิดตลาด (10.00 น.) ปรับขึ้นทันที 1,150 บาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ของราคาทองในประเทศ โดยทองคำแท่ง รับซื้อบาทละ 63,800 บาท ขายออกบาทละ 63,900 บาท ทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 62,519.84 บาท ขายออกบาทละ 64,700 บาท ขณะที่ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot)  ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ อยู่ที่ 4,142 ดอลล่าร์สหรัฐต่อออนซ์  และในช่วงเวลา 11.56 น. ราคาทองในประเทศยังสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ต่อเนื่อง ปรับเปลี่ยนไปแล้ว 10 ครั้ง รวมปรับเพิ่มขึ้น 1,550 บาท โดยทองคำแท่ง รับซื้อบาทละ 64,150 บาท ขายออกบาทละ 64,250 บาท ทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 62,868.52 บาท ขายออกบาทละ 65,050 บาท ขณะที่ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 4,169 ดอลล่าร์สหรัฐต่อออนซ์ ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

เนื่องจากยังคงได้รับแรงหนุนจากการเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความวิตกกังวลต่อสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน อีกทั้งแรงหนุนจากความเชื่อมั่นว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งในการประชุมประจำเดือนนี้(ต.ค.) และเดือน ธ.ค. และเมื่อปิดตลาดการซื้อขายในประเทศไทย ของวันที่ 14 ต.ค. เวลา 17.00 น. ราคาทองรูปพรรณ รับซื้อ 62,716 บาทต่อบาททองคำ  ขายออก 64,900 บาท ต่อบาททองคำ ทองรูปพรรณ รับซื้อ 64,000 บาท ต่อบาททองคำ ขายออก 64,100 บาท ต่อบาททองคำ โยตลอดวันมีการปรับราคา 29 ครั้ง


ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจบรรยากาศร้านทองย่านเยาวราช พบว่า มีประชาขนทยอยเดินทางมาที่ร้านทองกันอย่างคึกคัก มีทั้งมาซื้อและขาย แต่ส่วนใหญ่มาซื้อ ในสัดส่วนที่มากกว่า หลังจากราคาทองคำปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่บางร้านเริ่มจำกัดการซื้อในบางช่วงเวลา

นายวรชัย ตั้งสิทธิ์ภักดี รองเลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำปรับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จากปัจจัยหนุนการเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความวิตกกังลงเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐขู่ว่าจะตอบโต้จีนที่ออกมาตรการคุมเข้มการส่งออกแร่หายาก รวมทั้งการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมประจำเดือนนี้อีก หลังปรับลดไปเมื่อการประชุมเมื่อ 17-18 กันยายนที่ผ่านมา รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่

ทั้งนี้มีการการคาดการณ์ว่าราคาทองคำโลก อาจพุ่งไปถึงระดับ 4,300-4,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศมีโอกาสพุ่งไปแตะระดับ 75,000 บาทต่อบาททองคำ อย่างไรก็ตามเมื่อราคาทองคำพุ่งแรงต่อเนื่อง อาจมีโอกาสย่อตัวลงได้ จึงอาจต้องระวังความเสี่ยงไว้บ้าง แต่อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีปัจจัยที่จะทำให้ราคาทองคำปรับย่อตัวลง

สำหรับการซื้อขายทองคำในประเทศ ส่วนใหญ่ยังทยอยซื้อทองคำเพิ่ม เป็นทองคำแท่งมากกว่าทองรูปพรรณ และเป็นการซื้อเพื่อการลงทุน แต่ในระยะสั้นมีขายทำกำไรบ้าง อย่างไรก็ตาม ช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา โรงงานหยุดยาว ทำให้ส่งผลต่อการรับมอบทองคำล่าช้าไปบ้าง โดยวันนี้โรงงานกลับมาผลิตตามปกติ คาดว่าจะคลี่คลาย ภายในไม่เกิน 10 วัน สามารถกลับมารับมอบทองคำได้ตามปกติ

ทั้งนี้นักวิเคราะห์รายหนึ่งมองว่าราคาทองคำกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นโดยปีนี้พุ่งขึ้นแล้วกว่า 56% และมีแนวโน้มพุ่งแตะระดับ 5,000 ดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2569 โดยจะได้ปัจจัยหนุนจากการเข้าซื้อของธนาคารกลาง เม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF รวมทั้งสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ และความเชื่อมั่นที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมทั้งในเดือน ต.ค. และ ธ.ค.

"คืนวันนี้ (14ต.ค.) ไม่มีรายงานเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ ติดตามการแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด เพื่อหาข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งยังคงคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนต.ค.และธ.ค. หลังสหรัฐเผชิญภาวะชัตดาวน์ รวมถึงมีการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอ"นักวิเคราะห์ กล่าว

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top