ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดทำบทวิเคราะห์ เรื่อง “สถานการณ์ธุรกิจโรงแรม ครึ่งแรกปี 2568” พบว่า ภาพรวมด้านอุปสงค์ของธุรกิจโรงแรมชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยเป็นผลมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยลดลง -4.7 % แต่อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมทั่วประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 60.8 % เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 59.1 % สะท้อนความต้องการใช้บริการที่พักยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้านอุปทาน พบว่า มีการชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยจำนวนโรงแรมที่ยื่นขออนุญาตเปิดใหม่ รวมถึงจำนวนห้องพักใหม่ลดลง -34.6 % และ -32.2 % ตามลำดับ ส่งผลให้จำนวนโรงแรมที่จดทะเบียนประกอบธุรกิจสะสมทั่วประเทศลดลง -3.7 % และจำนวนห้องพักสะสมลดลง -1.8 %
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอุปทานในอนาคตมีสัญญาณการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างโรงแรมปรับตัวเพิ่มขึ้น 29.6 % โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑลที่มีการขออนุญาตก่อสร้างเพิ่มขึ้นมากถึง 230.7 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เนื่องจากในเขตกรุงเทพฯ – ปริมณฑล เป็นศูนย์กลางธุรกิจและการท่องเที่ยวมีความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ครึ่งแรกปี 2568 (มกราคม - มิถุนายน) มีโรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ทั่วประเทศ จำนวน 232 แห่ง และมีจำนวนห้องพัก 8,946 ห้อง โดยลดลงทั้งจำนวนโรงแรมและจำนวนห้องพัก -34.6 % และ -32.2 % ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งมีจำนวนโรงแรม 355 แห่ง และมีห้องพัก 13,190 ห้อง โดยกรุงเทพฯ – ปริมณฑลมีจำนวนห้องพักที่ขออนุญาตมากที่สุด 3,012 ห้อง คิดเป็นสัดส่วน 33.7 % ของห้องพักทั้งหมด ส่งผลให้ในภาพรวมจำนวนโรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ ลดลงเกือบทุกภาค ยกเว้นในภาคตะวันตกที่มีจำนวนเท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่วนจำนวนห้องพักที่ขออนุญาตใหม่มีจำนวนลดลงเกือบทุกภาค ยกเว้นกรุงเทพฯ - ปริมณฑลที่เพิ่มขึ้น 16.4 % แสดงให้เห็นว่า ในช่วงครึ่งแรกปี 2568 ผู้ประกอบการยังคงชะลอการเปิดโครงการใหม่ โดยเฉพาะในภาคใต้และภาคกลางซึ่งมีจำนวนโรงแรมและห้องพักที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ลดลงอย่างชัดเจนมากกว่า -50.0 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และ ครึ่งแรกปี 2568 สินเชื่อคงค้างเพื่อพัฒนาธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท ทั่วประเทศ มีมูลค่า 418,557 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งมีมูลค่า 417,683 ล้านบาท
นอกจากนี้ช่วงครึ่งแรกปี 2568 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยโดยมีวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ที่ไม่ใช่การมาทำงานประจำหรือศึกษาอยู่ที่ประเทศไทยจำนวน 16,685,469 คน ลดลง -4.7 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยว 17,501,283 คน การลดลงครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปี 2564 โดยปัจจัยสำคัญมาจากนักท่องเที่ยวสัญชาติจีน ซึ่งเคยเป็นตลาดหลักที่ใหญ่ที่สุดของไทยลดลงมากถึง -34.1 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนกลายมาเป็นอันดับที่ 2 รองจากมาเลเซีย ขณะเดียวกันท่องเที่ยวจากมาเลเซียก็ยังคงมีจำนวนลดลงด้วยเช่นกันที่ -5.6 % การลดลงพร้อมกันของนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่สุด 2 อันดับแรกจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดให้จำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวมลดลง การที่จำนวนผู้เข้าพัก ลดลงสวนทางกับจำนวนห้องพักสะสมที่เพิ่มขึ้นในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดที่พักของกรุงเทพฯ และปริมณฑลสูงขึ้น และเป็นความท้าทายที่ผู้ประกอบการต้องวางแผนและปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากภาวะอุปทานส่วนเกิน
อย่างไรก็ตาม พบว่ามีนักท่องเที่ยวบางสัญชาติที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 % เช่น อินเดียเพิ่มขึ้น 13.8 % รัสเซียเพิ่มขึ้น 12.4 % และสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้น 17.9 % ซึ่งอาจเป็นโอกาสและช่วยให้สถานการณ์ของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและโรงแรมให้สามารถเติบโตต่อไปได้ สำหรับสัญชาติของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศมากที่สุด 10 อันดับแรกในช่วงครึ่งแรกปี 2568 ได้แก่ มาเลเซีย จีน อินเดีย รัสเซีย เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ไต้หวัน และลาว มีสัดส่วนรวมกัน 61.1 %
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี