นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ชุดใหม่ ซึ่งมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 มีมติเห็นชอบมาตรการเร่งรัดการลงทุน เพื่อสนับสนุนนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล โดยบีโอไอจะตั้งทีมพิเศษเพื่อติดตามและเร่งรัดการลงทุนของโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ที่ได้รับอนุมัติในช่วงปี 2566-2567 แต่ยังติดปัญหาและอุปสรรคในการลงทุนจำนวนกว่า 70 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมดิจิทัล (ดาต้าเซ็นเตอร์) อิเล็กทรอนิกส์ กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้า และกิจการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม พร้อมทั้งได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาและอุปสรรค 3 ด้าน ได้แก่ ด้านไฟฟ้า ด้านการจัดหาพื้นที่สำหรับการลงทุน และด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญร่วมกันของนักลงทุนในทุกอุตสาหกรรม โดยมีเลขาธิการบีโอไอ เป็นประธาน เพื่อทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปลดล็อคอุปสรรคเหล่านี้โดยเร็ว
นอกจากนี้ บีโอไอจะดำเนินการจัดทำระบบ Thailand FastPass เพื่อเป็นกลไกที่จะใช้ต่อเนื่องระยะยาวในการเร่งรัดโครงการลงทุนสำคัญ โดยจะวิเคราะห์เส้นทางการประกอบธุรกิจของอุตสาหกรรมเป้าหมาย และกำหนดขั้นตอนการอนุมัติ/ อนุญาตที่มีผลต่อการเริ่มต้นธุรกิจ จากนั้นจะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำข้อตกลงระดับการให้บริการ (SLA) เพื่อเป็นช่องทางพิเศษในการช่วยเร่งรัดโครงการลงทุนสำคัญให้ได้รับอนุญาตตามกรอบเวลาที่กำหนดใน SLA และสามารถเดินหน้าลงทุนจริงอย่างรวดเร็วที่สุด
ทั้งนี้ บอร์ดบีโอไอได้เห็นชอบหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกโครงการเข้าสู่ระบบ “Thailand FastPass” ซึ่งต้องเป็นโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนแล้ว เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ ยานยนต์และชิ้นส่วน เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ดิจิทัลและ AI เป็นต้น อีกทั้งเป็นโครงการที่สร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในระดับสูง เช่น การจ้างงานบุคลากรไทย การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานในประเทศ และการยกระดับเทคโนโลยี
“มาตรการเร่งรัดการลงทุนจะเป็นกลไกสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะ
การสร้างกลไก Thailand FastPass ซึ่งจะเป็นอาวุธใหม่ในการดึงดูดการลงทุนของประเทศไทย และเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการเร่งรัดการลงทุนของโครงการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีความสำคัญต่อประเทศ โดยจะช่วยแก้ปัญหา ลดขั้นตอนและระยะเวลา และเพิ่มความชัดเจนในกระบวนการอนุมัติและอนุญาตต่าง ๆ เพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนใหม่อย่างรวดเร็วและเห็นผลเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านเม็ดเงินลงทุน การจ้างงาน และการยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทย เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาล” นายนฤตม์ กล่าว
ทั้งนี้ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบการเปิดให้การส่งเสริมการลงทุน “กิจการผลิตส่วนประกอบหลักของเซลล์แบตเตอรี่สำหรับแบตเตอรี่ความจุสูง (High Density Battery)” ได้แก่ ขั้วแคโทด (Cathode) ขั้วแอโนด (Anode) อิเล็กโตรไลต์ (Electrolyte) และตัวแยกขั้วไฟฟ้า (Separator) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีในการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน โดยมีเป้าหมายดึงดูดผู้ประกอบการชั้นนำของโลกที่เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ และซัพพลายเชนที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เข้ามาลงทุนตั้งฐานผลิตในไทยเพื่อเสริมสร้างห่วงโซ่มูลค่าอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าให้ครบวงจรและแข่งขันได้ในระดับโลก โดยการลงทุนในกิจการดังกล่าวจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี
นอกจากนี้ที่ประชุมบีโอไอได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 2 โครงการ มูลค่า 7,000 ล้านบาท ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และการแพทย์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ได้แก่
1. บริษัท ฮิตาชิ แอสเตโม เอเชีย จำกัด โครงการผลิต PCU Inverter สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้ จังหวัดฉะเชิงเทรา มูลค่าลงทุน 3,500 ล้านบาท
2. บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) โครงการศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็ง (เคมีบำบัดและรังสีวิทยา) ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มูลค่าลงทุน 3,496 ล้านบาท โครงการนี้เป็นศูนย์โปรตอนแห่งที่ 2 ของไทยที่เน้นการรักษาด้วยอนุภาคโปรตอน
-032
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี