วันพุธ ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2568
TJA นำคณะสื่อมวลชนไทยผู้เข้าร่วมโครงการ‘มองจีนยุคใหม่ สิ่งที่สื่อไทยควรรู้’ครั้งที่ 7 ศึกษาดูงานประเทศจีนระหว่างวันที่ 26-30 ต.ค. ชมศูนย์กลางความร่วมมือ AI จีน–อาเซียน และเข้าพบกงสุลใหญ่แห่งราชอาณาจักรไทย ณ นครหนานหนิง ชี้คนกว่างซียังคงความเชื่อมั่นในแบรนด์ไทยสูง
28 ตุลาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงาน ณ นครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซี สาธารณรัฐประชาชนจีน นายชำนาญ ไชยศร อุปนายกฝ่ายกิจกรรมพิเศษและพัฒนาส่งเสริมศักยภาพสื่อมวลชน สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วยนายมงคล บางประภา ที่ปรึกษาสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ นางสาวโสภิต หวังวิวัฒนา ผู้จัดการโครงการมองจีนยุคใหม่ สิ่งที่สื่อไทยควรรู้ ครั้งที่ 7 นำคณะสื่อมวลชนไทยที่เข้าร่วมโครงการฯศึกษาดูงานระหว่างวันที่ 26 - 30 ตุลาคม 2568 ซึ่งโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โดยจุดแรกเข้าชมศูนย์นวัตกรรมและความร่วมมือด้าน AI จีน–อาเซียน (China-ASEAN Artificial Intelligence Collaborative Innovation Center : CAAIC) ณ เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง สาธารณรัฐประชาชนจีน
ศูนย์นวัตกรรมและความร่วมมือด้าน AI จีน–อาเซียนแห่งนี้ ก่อตั้งขึ้นตามนโยบายการพัฒนาศักยภาพด้าน AI ของประเทศจีน โดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิง มีเป้าหมายการพัฒนาเสริมสร้างความร่วมมือด้าน AI กับประเทศในอาเซียน ภายใต้ยุทธศาสตร์สำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ 1.การเติบโต ด้วยนครหนานหนิงเป็นประตูสู่อาเซียน จึงมีบุคลากรที่มีความพร้อมต่อการสร้างพันธมิตรกับประเทศอาเซียน ทั้งด้านภาษาและวัฒนธรรม 2.ความรวดเร็ว ด้วยทำเลที่ตั้งของเมืองที่ติดกับประเทศอาเซียน จึงเป็นต้นทุนที่ดีในการติดต่อสื่อสารที่รวดเร็ว 3.บริการดี ภายใต้ระบบการจัดการข้อมูลด้าน AI ที่มีความพร้อม ทำให้ศูนย์ CAAIC สามารถให้บริการด้านเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 4.ความประหยัด ซึ่งเป็นผลดีจากต้นทุนทำเลที่ตั้งที่ใกล้กับประเทศอาเซียนที่สุดของประเทศจีน ทำให้สามารถลดต้นทุนและเวลาการส่งต่อข้อมูล เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี AI ได้อย่างมาก
ปัจจุบันศูนย์ CAAIC เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปลายเดือน มิถุนายน 2568 ทั้งเปิดสาขาย่อยนอกประเทศเป็นแห่งแรกที่ประเทศลาว และอยู่ระหว่างการดำเนินการเปิดสาขาย่อยที่ประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ส่วนการบริหารจัดการข้อมูลด้านเทคโนโลยี AI ที่เมืองหนานหนิง ใช้ระบบรับและส่งข้อมูลผ่านสายสายไฟเบอร์ออฟติกที่มีความเร็วสูง มีเสถียรภาพ และสามารถส่งข้อมูลได้ในระยะไกล โดยมีการเชื่อมโยงข้อมูลไปยังศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่มณฑลชิงไห่ และเตรียมขยายไปยังศูนย์ข้อมูลในปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางตุ้ง เพื่อรองรับการใช้งาน AI ในระดับอาเซียน โดยมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลต่ำกว่า 6 มิลลิวินาที ช่วยให้บริการต่าง ๆ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ การแพทย์ทางไกล และการสื่อสารด้วย AI สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ศูนย์ CAAIC ยังพัฒนาเทคโนโลยี AI ครอบคลุมหลายด้าน เช่น ระบบจราจรอัจฉริยะ การเกษตรแม่นยำสูง การศึกษาออนไลน์ข้ามพรมแดน และบริการแพทย์ทางไกลในพื้นที่ชนบท โดยทั้งหมดใช้เทคโนโลยี AI ของจีนที่มีต้นทุนการประมวลผลต่ำกว่าประเทศตะวันตก แต่ยังคงรองรับการใช้งานร่วมกับระบบมาตรฐานสากล จีนต้องการส่งเสริมบทบาทของ CAAIC ในฐานะ “สะพานเทคโนโลยี” ระหว่างจีนกับอาเซียน ที่ไม่เพียงส่งเสริมความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนภูมิภาคเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน
จากนั้นคณะเดินทางไปยังสำนักงานกิจการต่างประเทศกว่างซี โดยมี นายซ่ง ไฮวจวิน (SONG HAIJUN) รองผู้อำนวยการกิจการต่างประเทศกว่างซี ต้อนรับและบรรยายข้อมูลเกี่ยวกับเขตปกครองตนเองชนชาติกว่างซีว่า การค้าต่างประเทศของกว่างซีนั้นมีอัตราเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี โดยมีอาเซียนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด และมีมูลค่าการค้าชายแดนและการซื้อขายแลกเปลี่ยนด้วยเงินหยวนมากที่สุดด้วยเช่นกัน
ส่วนด้านการค้าระหว่างกว่างซีและไทย ถือเป็นคู่ค้าลำดับที่ 2 มีมูลค่าการส่งออกและการค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสินค้าที่กว่างซีส่งออกไปยังไทยได้แก่ แผ่นดิสก์ แผงโซลาเซลล์ ฮาร์ดดิสก์ ผลิตภัณฑ์เคมี ขณะที่สินค้าที่ไทยส่งออกไปยังกว่างซี ได้แก่ ทุเรียนสด มังคุด เศษอลูมิเนียม และเศษทองแดงสำหรับธุรกิจรีไซเคิล อีกทั้งยังมีการร่วมลงทุนระหว่างกัน เช่น วิสาหกิจของกว่างซีหลายแห่งรับเหมาก่อสร้างในไทย ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มทุนไทย เช่น มิตรผล กระทิงแดง ซีพี เข้ามาลงทุนในกว่างซี ในด้านการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกว่างซีและไทย เช่น ส่งเสริมขยายขนาดการค้า เนื่องจากความต้องการส่งออกสินค้ากว่างซีไปไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กว่างซีต้องการส่งเสริมความร่วมมือทางด้านการค้า การศึกษา การท่องเที่ยว สื่อบันเทิง ให้มีความใกล้ชิดมากขึ้น ส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่ร่วมกัน ส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ในไทย และส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการผลิตเชื่อมต่อห่วงโซ่อุตสาหกรรม สนับสนุนวิสาหกิจกว่างซีให้เข้าไปพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเกษตรในไทย ส่งเสริมวิสาหกิจรับเหมากว่างซีเข้าร่วมโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในไทย รวมถึงขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล
กว่างซียังส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้า ขนส่ง โลจิสติกส์ รวมทั้งการศึกษา ความร่วมมือระหว่างสื่อมวลชน 2 ฝ่าย การจับคู่ 10 เมืองแฝดระหว่างกว่างซีและไทย
จากนั้นช่วงบ่ายคณะเดินทางเข้าพบนางสาวเบญจมาศ ตันเวทยานนท์ กงสุลใหญ่แห่งราชอาณาจักรไทย ประจำนครหนานหนิง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและมุมมองเกี่ยวกับเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงซึ่งมีบทบาทสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจ การลงทุน และความร่วมมือระหว่างจีนกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการสร้างความเชื่อมโยงทางการค้าให้ใกล้ชิดกันมากขึ้นระหว่างอาเซียน จีน เอเชียกลาง และยุโรป ผ่านยุทธศาสตร์ระเบียงการขนส่งเชื่อมทางบกกับทางทะเลแห่งภาคตะวันตก หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า NWLSC (New Western Land and Sea Corridor) โดยก่อนเริ่มการหารือกงสุลใหญ่แห่งราชอาณาจักรไทย ประจำนครหนานหนิง ได้นำคณะยืนสงบนิ่งถวายความอาลัยรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
กว่างซีไม่ได้เป็นเพียงตลาดแต่เป็นประตู (Gateway) สำคัญที่จีนใช้เชื่อมโยงกับอาเซียน ยังเป็นเส้นทางสำคัญสำหรับสินค้าไทยในการเข้าสู่ตลาดจีนตอนในตะวันตก ไปจนถึงยุโรป ทั้งด้านขนส่งและโลจิสติกส์ การขนส่งสินค้าจากไทยเข้าจีนที่เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง สามารถทำได้หลายทาง อาทิ รถขนส่ง, รถไฟ, เรือ, เครื่องบิน นับว่าในปัจจุบันมีความสะดวกเป็นอย่างมาก
การขนส่งทางบกใช้ระยะเวลาเพียง 2 วัน เดินทางถึงจีน จึงช่วยเก็บรักษาคุณภาพความสดใหม่ของสินค้าจากเกษตรกรไทยได้ ส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้าทุเรียนไทย โดยมีเส้นทางการขนส่งผลไม้จากไทยมายังกว่างซีไว้ คือ 1.ด่านทางถนนตั้งแต่ด่านโหย่วอี้กวาน ด่านตงซิง ด่านหลงปัง ด่านสุยโข่ว 2.ด่านทางรถไฟ คือ ด่านรถไฟผิงเสียง
3.ด่านทางสนามบิน เช่น ด่านสนามบินหนานหนิง ด่านสนามบินกุ้ยหลิน และด่านทางทะเล คือ ด่านท่าเรือชินโจว ด่านท่าเรือฝางเฉิงก่าง
สถิติการค้าปัจจุบันไทยยังขาดดุลการค้ากับกว่างซี โดยจีนส่งออกสมาร์ทโฟน/อะไหล่เครื่องจักรมาไทย ส่วนไทยส่งออกหลักคือ HDD, ทุเรียน, มังคุด และยางพารา ส่วนการลงทุนของไทยมีบริษัทใหญ่ของไทยเข้ามาลงทุนหลายแห่ง เช่น SCG กระทิงแดง มิตรผล CP และ ธนาคารกรุงเทพ (กำลังจะเปิดสาขาที่ 2) เนื่องจากกว่างซีเป็นแหล่งปลูกอ้อยที่ใหญ่ที่สุดในจีน มิตรผลได้นำนวัตกรรมมาใช้และดำเนินธุรกิจแบบ "Green Economy" โดยนำชานอ้อยไปทำไฟฟ้า และวัสดุทำถนน (คล้ายยางมะตอย) ด้านการศึกษาก็ได้รับความนิยมมาก ในกว่างซีมี ถึง 38 สถาบันที่เปิดสอนภาษาไทย และมีคนไทยประมาณ 2,000 คน โดย 1,500 คนเป็นนักเรียน/นักศึกษาที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนจีน คนกว่างซีชื่นชอบความเป็นไทย ทั้งอาหาร มวยไทย รวมถึงอัธยาศัยของคนไทย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ไทยในยังมีโอกาสในตลาดกว่างซี
บทบาทของสถานกงสุลฯ และทีมประเทศไทย ทั้งพาณิชย์, เกษตร, BOI, ททท.ทำหน้าที่เป็นผู้รักษาประตูการค้า และอำนวยความสะดวกให้สินค้าไทย โดยเฉพาะผลไม้ให้เข้ามาได้สะดวกขึ้น รวมถึงประสานงานเตรียมความพร้อมรับฤดูกาลผลไม้ กว่างซียังมีเวทีการแลกเปลี่ยนสินค้าสำคัญ คือ China-ASEAN Expo (CAEXPO) ซึ่งเป็นเวทีที่ไทยเข้าร่วมทุกปี (ปีล่าสุด 120 บูธ)
ต่อมาคณะนักข่าวได้ไปเยือนสำนักข่าวชั้นนำของกว่างซี คือกว่างซี เดลี่ เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้ AI และสนับสนุนในการทำงานของผู้สื่อข่าว ทั้งการเขียนบทความ การทำวิดีโอ ตลอดจนการแปลเป็นภาษาต่างๆ โดยมีนาย Song Chunfeng รองบรรณาธิการบริหารกว่างซี เดลี่ ต้อนรับ พร้อมได้มีข้อเสนอแนะถึงความร่วมมือกับประเทศไทย 3 ข้อ ได้แก่ การร่วมกันสร้างเนื้อหาผลิตผลงานสื่อแบบบูรณาการโดยใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาสนับสนุนในการทำงาน การแบ่งปันเทคโนโลยีและความร่วมมือในด้านการเขียนข่าวอัจฉริยะ ผู้ประกาศเสมือนจริง รวมถึงการพัฒนาบุคลากรร่วมกัน โดยการแลกเปลี่ยนผู้สื่อข่าวและวิศวกรเพื่อเข้าร่วมอบรมเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีร่วมกัน
นอกจากนี้ยังได้ร่วมฟังบรรยายเกี่ยวกับความเป็นมาของศูนย์การสื่อสารนานาชาติกวางซี ที่เริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2024 ซึ่งมีหน้าที่สื่อข่าวสารและข้อมูลของกว่างซีไปสู่ต่างประเทศ อยู่ภายใต้การดูแลของกว่างซี เดลี่ ปัจจุบันได้มีความร่วมมือกับสื่อไทยบางแห่งแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี