ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ต.ค. เพิ่มจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ-ฤดูกาลท่องเที่ยว

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ต.ค. เพิ่มจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ-ฤดูกาลท่องเที่ยว

วันอังคาร ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 10.40 น.

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน จำนวน 6,437 ราย ซึ่งครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนตุลาคม 2568 ปรับตัวเข้าสู่ระดับความเชื่อมั่นในรอบ 7 เดือน ที่ระดับ 50.9 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของประชาชนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงเดือนที่ผ่านมาจากการประกาศใช้มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงปลายปี แต่อย่างไรก็ตามปัญหาทางการเงินทั้งหนี้สินและค่าใช้จ่ายที่อยู่ในระดับสูงของประชาชน รวมถึงบรรยากาศความไม่แน่นอนของสถานการณ์โดยรวมในประเทศ อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนจึงจำเป็นต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนตุลาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 50.9 ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในช่วงเชื่อมั่นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน (เดือน ก.ย.68 อยู่ที่ระดับ 49.4) สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) อยู่ที่ระดับ 57.6 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 56.0 ในเดือนก่อนหน้า โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีอยู่ในระดับเชื่อมั่น คาดว่ามาจาก (1) การเร่งขับเคลื่อนนโยบายของภาครัฐ อาทิ โครงการคนละครึ่ง พลัส และการเพิ่มวงเงินสวัสดิการให้กับผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนและสนับสนุนภาคธุรกิจ รวมถึงนโยบายอื่น ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นและสร้างผลกระทบต่อเนื่องในระยะยาว (2) ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและชาวไทยในช่วงวันหยุดยาวและฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี ตลอดจนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจการค้าและบริการ และ (3) ภาพรวมการส่งออกยังเติบโตได้ดี อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน อยู่ที่ระดับ 40.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 39.6 ในเดือนก่อนหน้า

โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันอยู่ในระดับไม่เชื่อมั่นคาดว่ามาจากหลายปัจจัย อาทิ ความกังวลของประชาชนต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่เติบโตได้ช้า ภาระหนี้สินและค่าใช้จ่ายของประชาชนและภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง แม้จะได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนไปบางส่วนแล้ว และสินค้าเกษตรสำคัญของไทยที่เผชิญกับการแข่งขันสูงในตลาดโลก นอกจากนี้ สถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจส่งผลต่อภาคการผลิต การจ้างงานและการส่งออกของไทย เป็นประเด็นที่ต้องติดตามใกล้ชิด ซึ่งอาจจะเป็นแรงกดดันที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระยะต่อไป

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค พบว่า ด้านเศรษฐกิจไทยส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 49.51 รองลงมา คือ มาตรการของภาครัฐ ร้อยละ 16.03 สังคม/ความมั่นคง ร้อยละ 8.17 เศรษฐกิจโลก ร้อยละ 8.08 ราคาสินค้าเกษตร ร้อยละ 7.58 การเมือง ร้อยละ 6.54 ผลจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ร้อยละ 1.93 ภัยพิบัติ/โรคระบาด ร้อยละ 1.40 และ อื่น ๆ ร้อยละ 0.76 ตามลำดับ

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายภูมิภาค จำนวน 5 ภูมิภาค พบว่า ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น 3 ภาค ได้แก่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 56.0 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 52.9 และภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 51.1 ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 48.6 ซึ่งแม้อยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเล็กน้อย และภาคกลางคงที่อยู่ที่ระดับ 48.8

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายอาชีพ จำนวน 7 อาชีพ พบว่าความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มอาชีพโดยมี 4 กลุ่มอาชีพที่ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น ได้แก่ พนักงานของรัฐ อยู่ที่ระดับ 55.1 นักศึกษา อยู่ที่ระดับ 53.1 ผู้ประกอบการ อยู่ที่ระดับ 53.0 และพนักงานเอกชน อยู่ที่ระดับ 50.0 ในขณะที่มี 3 กลุ่มอาชีพที่ดัชนีอยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น โดย ไม่ได้ทำงาน/บำนาญ อยู่ที่ระดับ 49.8 เกษตรกร อยู่ที่ระดับ 49.4 และ อาชีพรับจ้างอิสระ อยู่ที่ระดับ 49.2 สำหรับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ที่ระดับ 46.9 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าแต่ยังอยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น 

นายนันทพงษ์ กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนตุลาคม 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเข้าสู่ระดับความเชื่อมั่นในรอบ 7 เดือน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่เพิ่มขึ้นทั้งจากแนวโน้มการส่งออกที่ยังขยายตัวและความหวังต่อภาคการท่องเที่ยวจากการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวและเทศกาลสำคัญในช่วงปลายปี รวมไปถึงการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการคนละครึ่ง พลัส ที่มีการประกาศความชัดเจนของโครงการในเดือนตุลาคมยิ่งเป็นแรงผลักให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มมากขึ้นและลดความกังวลของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม แม้มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมีแนวโน้มช่วยบรรเทาความกังวลได้อย่างชัดเจน แต่ปัญหาภาระค่าใช้จ่ายและหนี้สินของประชาชนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงยังคงเป็นปัจจัยหลักที่สร้างความกังวลและเป็นแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประกอบกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางสังคมและสถานการณ์การแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศที่รุนแรงขึ้นอาจเป็นแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในอนาคตจึงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์จะยังคงเดินหน้ามาตรการที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและลดความกังวลของประชาชน อาทิ มาตรการธงฟ้าราคาประหยัดเพื่อการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน พร้อมทั้งการเตรียมความพร้อมสำหรับภาคธุรกิจ MSME เพื่อเปิดโอกาสและศักยภาพใหม่ในการพัฒนาธุรกิจ รวมถึงเสริมสร้างข้อมูลสำหรับผู้ประกอบการต่าง ๆ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงกลยุทธ์และเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์การท่องเที่ยวและเทศกาลช่วงปลายปี อาทิ การควบคุมราคาสินค้าในช่วงเทศกาล และส่งเสริมการกระจายรายได้สู่ชุมชนในช่วงเวลาสำคัญ ซึ่งจะช่วยลดความกังวลของประชาชนและส่งเสริมบรรยากาศเชิงบวกที่เอื้อต่อการใช้จ่ายและกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมต่อไป

 

-031

 

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top