วันศุกร์ ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา(DIP) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ระบบ PCT คือระบบอำนวยความสะดวกในการยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรระหว่างประเทศ ภายใต้การกำกับดูแลขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) โดยผู้ที่ต้องการจดสิทธิบัตรในต่างประเทศสามารถยื่นคำขอเพียงครั้งเดียว แต่เลือกขอรับความคุ้มครองได้หลายประเทศ จากทั้งหมด 158 ประเทศที่เป็นภาคีสมาชิกสนธิสัญญา ซึ่งครอบคลุมตลาดสำคัญของไทย อาทิ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการยื่นคำขอ โดยไม่ต้องแยกจดทะเบียนทีละประเทศ ซึ่งสิทธิบัตรเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและนวัตกรรมของประเทศ ไม่เพียงช่วยปกป้องคุ้มครองผลงานสร้างสรรค์จากการลอกเลียนแบบ แต่ยังเป็นแรงจูงใจให้เกิดการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมของประเทศให้ก้าวหน้าและแข่งขันได้ในระดับสากล
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ไทยเข้าร่วมภาคีสนธิสัญญา PCT ในปี 2552 มีผู้ประกอบการไทยนำนวัตกรรมไปจดสิทธิบัตรในประเทศต่างๆ ผ่านระบบ PCT มากกว่า 1,100 คำขอ โดย 72% เป็นการยื่นจดทะเบียนในนาม
นิติบุคคล ซึ่งหน่วยงานไทยที่ยื่นขอจดสิทธิบัตรผ่านระบบ PCT มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) 2) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และ 3) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำหรับประเทศที่คนไทยยื่นขอจดสิทธิบัตรผ่านระบบ PCT มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ญี่ปุ่น 2) สหภาพยุโรป และ 3) สหรัฐอเมริกา และเทคโนโลยีที่คนไทยยื่นคำขอ PCT มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่
1) เครื่องจักรกลไฟฟ้า อุปกรณ์ พลังงาน 2) เคมีแมคโครโมเลกุล พอลิเมอร์ และ 3) เคมีวัสดุพื้นฐาน ตามลำดับ
นางอรมน กล่าวว่า การอบรม PCT ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่างกรมกับ WIPO เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ นักประดิษฐ์ และหน่วยงานต่างๆ ของไทย ตระหนักถึงความสำคัญของการขอรับความคุ้มครองสิทธิบัตรในต่างประเทศผ่านระบบ PCT โดยมีผู้เชี่ยวชาญของ WIPO ร่วมเป็นวิทยากรให้คำแนะนำเกี่ยวกับกระบวนการจดทะเบียนและแนวทางการจัดทำคำขออย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ ยังได้แนะนำบริการยื่นคำขอ PCT ผ่านช่องทางอิเล็กทรอกนิกส์ หรือ ePCT ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการยื่นคำขอทางออนไลน์ ซึ่งผู้ยื่นสามารถรับส่งเอกสารและติดตามสถานะความคืบหน้าของคำขอ PCT ได้ด้วยตนเอง สะดวกรวดเร็วทุกที่ทุกเวลา อีกทั้งยังได้รับส่วนลดค่าธรรมเนียมสูงสุดถึง 13,000 บาทต่อคำขอ โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกรมและ WIPO ที่จะสร้างแรงจูงใจและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยใช้บริการ ePCT มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการไทยยื่นคำขอผ่านช่องทาง ePCT กว่า 80% ของคำขอ PCT ทั้งหมด สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของบริการที่ตอบโจทย์การใช้งานและช่วยสนับสนุนผลงานของผู้ประกอบการไทยให้ก้าวสู่เวทีสากลอย่างเป็นรูปธรรม
นางอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมเชื่อมั่นว่าการอบรมในครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมให้นักประดิษฐ์นักสร้างสรรค์ ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของไทย ตระหนักถึงข้อดีและหันมาใช้ประโยชน์จากระบบ PCT มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป้าหมายของกรมคือจะมุ่งผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยยื่นจดสิทธิบัตรในต่างประเทศผ่านช่องทาง ePCT ให้ได้ 100% และมีจำนวนคำขอ PCT ไม่น้อยกว่า 100 คำขอต่อปี เพื่อขยายขอบเขตการคุ้มครองนวัตกรรมของคนไทยในตลาดโลก เอื้อประโยชน์ให้การเจรจาถ่ายทอดเทคโนโลยีและการอนุญาตให้ใช้สิทธิในระดับนานาชาติทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การสร้างรายได้และการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้ การยื่นจดสิทธิบัตรผ่านระบบ PCT เป็นเพียงขั้นตอนแรกในการยื่นคำขอเท่านั้นการได้รับสิทธิบัตรหรือไม่ ยังคงขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละประเทศที่ขอรับความคุ้มครอง โดยผู้ยื่นจะมีเวลาเตรียมความพร้อมทางธุรกิจและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ก่อนเข้าสู่กระบวนการจดทะเบียนในประเทศปลายทางอย่างเป็นทางการต่อไป ปัจจุบันระบบ PCT ได้รับความนิยมทั่วโลก แต่ละปีมีผู้ยื่นคำขอ PCT มากกว่า 270,000 คำขอ ในจำนวนนี้มีคำขอที่ยื่นจดสิทธิบัตรในไทยประมาณปีละ 7,000 คำขอ หรือคิดเป็นร้อยละ 75 ของคำขอรับสิทธิบัตรในไทยทั้งหมด สำหรับประเทศที่ยื่นคำขอจดสิทธิบัตรในไทยผ่านระบบ PCT สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น ร้อยละ 37 สหรัฐอเมริกา ร้อยละ 20 และจีน ร้อยละ 12 ตามลำดับ
-032
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี