AI ไม่ใช่ฟีเจอร์ระดับพรีเมียมอีกต่อไป แต่กลายเป็นความสามารถขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต้องมีไปแล้ว ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราอาจจะเลิกใช้คำว่า "อัจฉริยะ" หรือ “สมาร์ท” กับคำว่า สมาร์ทโฟน สมาร์ททีวี หรือลำโพงอัจฉริยะ เป็นต้น เนื่องจากความอัจฉริยะที่มีมาในตัวเครื่องจะกลายเป็นเรื่องมาตรฐาน อุปกรณ์ต่าง ๆ จะแข่งขันกันที่ระดับประสิทธิภาพของ AI ปริมาณข้อมูลที่สามารถประมวลผลได้ที่ Edge หรือที่ตัวอุปกรณ์ อีกทั้งความสามารถในการรองรับแอปพลิเคชัน Generative AI และ Agentic AI ที่น่าตื่นตา

เมื่อเร็ว ๆ นี้ เราได้พูดคุยกับคุณ Patrick Moorhead และคุณ Daniel Newman ในรายการ Six Five Podcast โดยแขกรับเชิญทั้งสองได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ที่มีต่อภาพรวมของตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค และเราก็ได้สรุปประเด็นสำคัญบางส่วนจากการสนทนามาดังนี้

Cloud เทียบกับ Edge AI

แอปพลิเคชัน Generative AI และ Agentic AI จำนวนมากจะประมวลผลบนคลาวด์ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่ช่วยให้รองรับโมเดลที่มีขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า รวมถึงมีผลลัพธ์ที่มีคุณภาพสูงกว่า อย่างไรก็ตาม หากดูตามความเหมาะสมแล้ว ยังมี Use Case อีกมากมายที่รันงาน AI บนอุปกรณ์ (Edge) เพราะมีอัตราความหน่วงที่ต่ำลง ความเป็นส่วนตัวที่ดีขึ้น และมีต้นทุนการประมวลผลบนคลาวด์ที่น้อยกว่า

ลองมาดูตัวอย่างเช่น สมาร์ทโฮม หากในบ้านมีกล้องวงจรปิดหลายตัวทำงานตลอด 24 ชั่วโมง การอัปโหลดวิดีโอความละเอียด 4K ทั้งหมดขึ้นสู่คลาวด์นั้นจะเป็นเรื่องที่มีค่าใช้จ่ายสูงและอาจทำให้เกิดความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวได้ ดังนั้นการประมวลผล AI ภายในตัวเครื่องหรือ ‘Local AI inferencing’ ทำให้สามารถตรวจจับวัตถุ ระบุเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง (เช่น สุนัขของคุณหนีออกไปทางประตู) และส่งการแจ้งเตือนก่อนได้ทันทีโดยไม่ต้องส่งข้อมูลทั้งหมดนั้นไปที่คลาวด์ก่อน

นอกจากนี้ยังมีความต้องการใช้การประมวลผล Edge AI บน Chromebook แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้การประมวลผลแบบภายในเครื่องจะช่วยให้แอปพลิเคชันต่าง ๆ ทำงานได้เร็วขึ้นและยังสามารถเข้าถึงได้แม้ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยสรุปแล้ว ปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ตัวแอปพลิเคชัน ประสบการณ์ของผู้ใช้งาน และระดับความรวดเร็วในการตอบสนองแบบเรียลไทม์ที่ต้องการ ดังนั้นเราก็จะยังคงเห็นอุปกรณ์จำนวนมากใช้กระบวนการคอมพิวติ้งแบบไฮบริดอยู่ต่อไป

AI และสมาร์ทโฮม

AI กำลังขับเคลื่อนการเติบโตภายในกลุ่มสมาร์ทโฮมและยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้ นวัตกรรมส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ระบบสั่งการด้วยเสียงหรือ Voice Assistant  โดยนิตยสาร SQ ยังรายงานว่า 68% ของการใช้งานสมาร์ทโฮมของผู้บริโภคในสหรัฐฯ เริ่มต้นผ่านการสั่งงานด้วยเสียง ในขณะที่ผู้ช่วยมีเสียงที่เป็นธรรมชาติในการสนทนามากขึ้นและเข้าใจคำขอที่มีความซับซ้อนได้ดีขึ้น เทคโนโลยีนี้กำลังกลายร่างเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเรา นอกจากนี้ อุปกรณ์ยังคาดการณ์ความต้องการได้เก่งยิ่งขึ้นและปรับเปลี่ยนตามความชอบของคุณได้โดยอัตโนมัติ

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายด้านการใช้งานและการทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ต่างระบบยังคงมีอยู่ แทบไม่มีผู้บริโภคคนใดเปลี่ยนอุปกรณ์สมาร์ทโฮมทั้งหมดในคราวเดียว แต่กลับต้องการให้อุปกรณ์ที่มีอยู่ทุกเครื่องทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ ดังนั้น AI จะสามารถเข้ามาช่วยรองรับการเชื่อมต่อกันให้เกิดความราบรื่นและช่วยแก้ไขปัญหาได้แบบเรียลไทม์

ด้วยเหตุนี้อาจนำไปสู่การกลับมาของ "ฮับ" ซึ่งอาจเป็นหน้าจออัจฉริยะหรืออุปกรณ์ภายในบ้านที่ทำหน้าที่เป็นสมองกล AI ประจำบ้าน คอยเชื่อมต่อเซ็นเซอร์ กล้อง และระบบควบคุมทั้งหมดไว้ในที่เดียว คุณจึงสามารถเพลิดเพลินไปกับการใช้ชีวิตในบ้านอัจฉริยะที่สมบูรณ์แบบได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรืออัปเกรดอุปกรณ์บ่อย ๆ

การลงทุนด้าน AI ในอนาคต

MediaTek ได้เริ่มขับเคลื่อนศักยภาพ AI ยุคใหม่ในสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต Chromebook และอุปกรณ์สมาร์ทโฮมแล้ว นอกจากนี้เรายังนำประสบการณ์ AI อันทรงพลังมาสู่ยานยนต์ไร้คนขับ โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ระดับพรีเมียม โดยมุ่งเน้นที่จะทำให้ ‘ความอัจฉริยะ’ นั้นรวดเร็วยิ่งขึ้น มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม และเข้าถึงได้ง่ายยิ่งกว่า

- 030