วันพฤหัสบดี ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568
นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮงเปิดเผยในงานสัมมนา SCB WEALTH : Holistic Wealth Forum 2025 ภายใต้ธีม Storm Shift ในหัวข้อ Golden Portfolio Defense in a Volatile Era : ทองคำ สมอเรือแห่งพอร์ตการลงทุนยุคผันผวนว่าราคาทองคำต่างประเทศ ในปี 2568 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ระดับ 4,381 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ให้ผลตอบแทนสูงถึง 67% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 46 ปี ขณะที่ราคาทองคำในประเทศไทย แตะระดับสูงสุดที่ 67,400 บาทเพิ่มขึ้น 59% แนวโน้มภายในสิ้นปีนี้ คาดว่าราคาทองคำโลกจะเคลื่อนไหวบริเวณ 4,200 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ส่วนปี 2569 แม้ว่าราคาทองคำจะอยู่ในระดับสูงแล้ว แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนให้ขยับขึ้นต่อได้ เพียงแต่ผลตอบแทนอาจไม่สูงเท่ากับปี 2568 โดยคาดว่าราคาทองคำโลก สิ้นปี 2569 อาจแตะที่ระดับ 4,700 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์
จากมุมมอง 11 สถาบันการเงินชั้นนำของโลก มองว่า ราคาทองคำในตลาดโลกปี 2569 ยังมีโอกาสขึ้นสู่ระดับ 4,500 - 5,000 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หาก 3 ปัจจัยนี้เกิดขึ้นพร้อมกัน อันได้แก่ 1) ความไม่แน่นอนของมาตการตอบโต้ภาษีการค้า 2) การเข้าซื้อทองคำเพิ่มขึ้นของธนาคารกลางหลายประเทศเพื่อเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ และ 3) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ถูกแทรกแซงทางการเมือง ซึ่งส่งผลกระทบต่อแนวโน้มดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ยังมีอีก 2 ปัจจัยที่หนุนราคาทองคำ ได้แก่ หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้น และกระแสความพยายามลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯทั่วโลก
ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจผันผวน แต่หากสะสมมากเกินไปอาจทำให้เสียโอกาสลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ แม้ปีนี้ทองคำจะให้ผลตอบแทนสูง แต่ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้พอร์ตในระยะยาว ไม่ใช่ให้ผลตอบแทนกว่า 60% ต่อปีแบบนี้ทุกปี ไม่แนะนำให้นักลงทุนเข้าลงทุนในช่วงที่ราคาสูง อาจทยอยเข้าซื้อช่วงที่ราคาปรับตัวลงมาอยู่ในระดับ 3,700-3,800 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์
“นักลงทุนไม่ควรเพิ่มสัดส่วนทองคำมากเกินไป เพราะอาจทำให้เสียโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ และไม่ควรไล่ซื้อในช่วงราคาสูง มองว่า ช่วง 3,700 -3,800 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ เป็นระดับที่เหมาะสมในการทยอยสะสม” นายธนรัชต์ กล่าว
นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets : SCB FM) กล่าวว่า ในสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและดอกเบี้ยเข้าสู่ช่วงขาลง ทองคำมักให้ผลตอบแทนได้ดี เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อได้ อีกทั้งราคาทองคำในตลาดโลกและเงินบาทมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูง กล่าวคือ เมื่อราคาทองคำเพิ่มขึ้น เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าตาม จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำด้วยสกุลเงินบาทแตกต่างจากการลงทุนทองคำด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ช่วงที่เหลือของปีนี้มองว่าเงินบาทอาจแข็งค่าเล็กน้อย เนื่องจาก 1) เทรนด์การแข็งค่าของเงินบาทช่วงปลายปี 2) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม 3) สกุลเงินภูมิภาคอาจแข็งค่าได้ในระยะสั้นหนุนให้บาทแข็งค่าตาม ส่วนปี 2569 มองว่าเงินบาทอาจกลับมาอ่อนค่าเนื่องจาก 1) ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น จากเทรนการลงทุนด้าน AI ที่จะ หนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเงินทุนที่มีแนวโน้มไหลเข้าสหรัฐฯ 2) เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มอ่อนแอลง รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองในปีหน้า 3) ราคาทองคำมีแนวโน้มสูงขึ้นในอัตราที่น้อยลง รวมถึงผลของราคาทองคำต่อเงินบาทอาจมีน้อยลง มองกรอบเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐปลายปี 2569 อยู่ที่ประมาณ 33.00 -34.00 บาท
นักลงทุนไทยยังเน้นการลงทุนในประเทศเป็นหลัก โดยลงทุนในต่างประเทศเพียง 10%ของเงินลงทุนรวมทั้งหมด ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกมากกว่า 20% จึงขอแนะนำให้กระจายพอร์ตไปยังสินทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน การเปิดบัญชีเงินฝากสกุลเงินตราต่างประเทศ (FCD) เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้ผู้ลงทุนบริหารสกุลเงินได้อย่างยืดหยุ่น ณ เดือนมิถุนายน 2568 พบว่า มูลค่าเงินฝากในบัญชี FCD ของไทย เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2562 จำนวนบัญชีเพิ่มจาก 120,000 บัญชี เป็น 7.2 ล้านบัญชี
- 030
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี