วันพฤหัสบดี ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / โลกธุรกิจ
บทวิเคราะห์ อุตสาหกรรมไทยต้องปรับตัว รับมือมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป

บทวิเคราะห์ อุตสาหกรรมไทยต้องปรับตัว รับมือมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป

วันพฤหัสบดี ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 07.14 น.
Tag : บทวิเคราะห์
  •  

บทวิเคราะห์

อุตสาหกรรมไทยต้องปรับตัว รับมือมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป


ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 สหภาพยุโรปจะเริ่มจัดเก็บภาษีนำเข้าภายใต้มาตรการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้าทั้งทางตรงและทางอ้อมจากกระบวนการผลิตของสินค้า  โดยในระยะแรก ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า CBAM จะส่งผลกระทบต่อ 3.8%ของสินค้าส่งออกของไทยไปสหภาพยุโรปในปี 2569 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 28,000 ล้านบาท

เป้าหมายของ CBAM คือ การสร้าง “การแข่งขันทางการค้าอย่างเท่าเทียม” เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ผลิตในสหภาพยุโรปเสียเปรียบจากการย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ดังนั้นวันที่ 1 มกราคม 2569 จึงถือเป็นการสิ้นสุดของระยะเปลี่ยนผ่านเนื่องจากกลไกของCBAM จะเริ่มปรับให้สอดคล้องกับระบบการซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหภาพยุโรป(EU ETS)ระบบดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบภายในปี 2577 ซึ่งจะเป็นปีที่สิทธิการปล่อยคาร์บอนแบบให้เปล่า (Free Allowance) สำหรับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจะถูกยกเลิกทั้งหมด

อุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมจะเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบ

ในประเทศไทยสองอุตสาหกรรมหลักที่จะได้รับผลกระทบ คือ เหล็กและเหล็กกล้า (มีมูลค่าส่งออก 95.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567) และอะลูมิเนียม (มีมูลค่าส่งออก 56.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567) ขณะที่การส่งออกปูนซีเมนต์และปุ๋ยมีมูลค่าเพียงเล็กน้อย ผู้ส่งออกเหล็ก เหล็กกล้า และอะลูมิเนียมไปยังสหภาพยุโรปจำเป็นต้องปรับตัว มิฉะนั้นอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหภาพยุโรป เนื่องจากผู้นำเข้าจำเป็นต้องซื้อใบรับรอง CBAM สำหรับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตของสินค้า ซึ่งมีราคาประมาณ 60–90 ยูโรต่อตัน แม้ในระยะแรกมูลค่าการซื้อใบรับรองจะยังไม่สูงแต่ก็อาจทำให้ผู้ผลิตไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน หากไม่เร่งปรับตัว

กระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมไทยมีการปล่อยก๊าซ CO2 สูงกว่าคู่แข่งในยุโรป

การผลิตในประเทศไทยปล่อยก๊าซ CO2 ต่อหน่วยน้ำหนัก (ตัน) สูงกว่าคู่แข่งในยุโรปสูงสุดถึง 17 เท่า แม้ว่าช่วงปกติจะอยู่ที่ 0.3–8.8 เท่า ขณะที่การผลิตปุ๋ยและก๊าซอุตสาหกรรมกลับปล่อยก๊าซ CO₂ น้อยกว่ายุโรป 50–70% เนื่องจากบทบาทของไทยในห่วงโซ่อุปทาน ที่มุ่งเน้นเพียงกระบวนการผสมไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ

เหล็กและเหล็กกล้า:อุตสาหกรรมที่เปราะบางที่สุดคือเหล็กและเหล็กกล้า โดยในปี 2567 มูลค่าการส่งออกของไทยไปยังสหภาพยุโรปอยู่ที่ 95.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็น 5.7% ของมูลค่าส่งออกเหล็กทั้งหมดของไทย ) อุตสาหกรรมเหล็กมีการปล่อยคาร์บอนในระดับที่สูงมาก เนื่องจากต้องใช้เตาถลุงถ่านหินในการผลิต การใช้ใบรับรอง CBAM จะทำให้ต้นทุนเหล็กไทยเพิ่มขึ้น 1,300–1,500 บาทต่อตัน หรือคิดเป็น 1.5–1.7% ของมูลค่าสินค้า ส่งผลให้ภาระต้นทุนรวมต่อปีจากการซื้อใบรับรอง CBAM อยู่ที่ 167–193 ล้านบาท

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าอุตสาหกรรมเหล็กของไทยจำเป็นต้องดำเนินการสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ (1) การเปลี่ยนมาใช้เตาหลอมไฟฟ้า (Electric Arc Furnace: EAF) ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานหมุนเวียน และ (2) การพัฒนากระบวนการผลิตเหล็กด้วยไฮโดรเจนสีเขียวเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน (Green Hydrogen Direct Reduction)  ไม่เช่นนั้น เหล็กกล้าคาร์บอนสูงของไทยอาจสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหภาพยุโรปให้กับผู้ผลิตที่มีกระบวนการผลิตที่สะอาดกว่า เช่น เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น  หรือผู้ผลิตภายในสหภาพยุโรปเอง

อะลูมิเนียม: ไทยส่งออกอะลูมิเนียมไปยังสหภาพยุโรปมูลค่า 56.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือคิดเป็น 1.7% ของการส่งออกรวมจึงเผชิญความเสี่ยงจาก CBAM น้อยกว่าอุตสาหกรรมเหล็ก อย่างไรก็ตาม การผลิตอะลูมิเนียมมีความเข้มข้นของคาร์บอนต่อหน่วยสูงกว่าเหล็กกล้าอย่างมากจึงไม่อาจมองข้ามได้เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมอะลูมิเนียมของไทยต้องปรับมาใช้เตาหลอมไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานหมุนเวียนสำหรับกระบวนการถลุงอะลูมิเนียม นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องพัฒนาระบบอิเล็กโทรลิซิสแบบวงจรปิดที่ปราศจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย

ปูนซีเมนต์:ในปี 2567 ประเทศไทยส่งออกปูนซีเมนต์ไปยังสหภาพยุโรปคิดเป็นมูลค่าเพียง 308,180 ดอลลาร์สหรัฐคาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากCBAM ของสหภาพยุโรป แต่อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ของไทยดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทยได้กำหนด "เส้นทางสู่ Net Zero ปี 2593" และบริษัทต่าง ๆ ได้เริ่มผลิตปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ (Limestone Calcined Clay Cement) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 38% นอกจากนี้หลายบริษัทอยู่ระหว่างการเปลี่ยนจากเตาเผาที่ใช้ถ่านหินมาเป็นเตาเผาชีวมวลแทน

ปุ๋ย:การส่งออกปุ๋ยของไทยไปสหภาพยุโรมีมูลค่า 630,740 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567  อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไปสู่การผลิต “แอมโมเนียสีเขียว” ซึ่งเป็นกระบวนการสังเคราะห์แอมโมเนียโดยใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน แทนการใช้กระบวนการที่ได้จากก๊าซธรรมชาติ หรือกระบวนการฮาเบอร์-บอช (Haber-Bosch process)

ไฟฟ้าและไฮโดรเจน:ประเทศไทยไม่ได้ส่งออกไฟฟ้าหรือไฮโดรเจนไปยังสหภาพยุโรป จึงไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียรายได้จากการส่งออกโดยตรงภายใต้มาตรการ CBAM อย่างไรก็ดี ไฟฟ้าอาจเป็นส่วนหนึ่งของพลังงานที่ใช้ในการผลิตสินค้าเป้าหมายที่ส่งออกไปยังสหภาพยุโรป การเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียนจึงอาจเป็นส่วนช่วยผู้ผลิตได้

ข้อเสนอแนะสำหรับผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มจะอยู่ภายใต้ขอบเขตมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรปในอนาคต

เนื่องจากCBAM มีแนวโน้มที่จะขยายขอบเขตไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆในประเทศไทยผู้ประกอบการจำเป็นต้องวางแผนและทยอยปรับตัว ดังนั้นศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงแนะนำมาตรการเชิงรุกดังต่อไปนี้

•                อุตสาหกรรมพอลิเมอร์ เคมี แก้ว/เซรามิก เยื่อและกระดาษ รวมถึงการประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ควรเริ่มดำเนินการวัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่อหน่วยผลิตภัณฑ์ทันที ขั้นตอนแรกนี้ถือว่ามีความสำคัญเพราะยังจะสอดคล้องกับข้อกำหนดอื่นๆ ที่กำลังจะมีผลบังคับ   ใช้ เช่น รายงาน แบบ 56-1 One Report ของไทย หรือระบบซื้อขาย สิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) ของญี่ปุ่นและจีนที่กำลังจะเริ่มดำเนินการ

•             ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มจะถูกกำหนดให้อยู่ในขอบเขตของมาตรการ CBAM ควรเร่งปรับปรุงเทคโนโลยีตั้งแต่เนิ่น ๆ ผู้ผลิตพลาสติกสามารถลงทุนในการเปลี่ยนกระบวนการทำความร้อนให้เป็นระบบไฟฟ้า เช่น การใช้หม้อไอน้ำไฟฟ้าหรือเครื่องทำความร้อนไฟฟ้า โรงงานเซรามิกและแก้วสามารถทดลองเปลี่ยนมาใช้เตาเผาเชื้อเพลิงชีวมวล หรือก๊าซชีวภาพ แทนการใช้ก๊าซธรรมชาติหรือถ่านหินในเตาเผาเดิม

•             ผู้ประกอบการไทยอาจจำเป็นต้องหันมาผลิตสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนต่ำเช่นเดียวกับปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ(LC3) ของเอสซีจี ตัวอย่างเช่นบริษัทผู้ผลิตพลาสติกสามารถเร่งพัฒนาพลาสติกชีวภาพหรือผลิตภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิล ซึ่งมีปริมาณคาร์บอนฟุตพรินท์น้อยกว่าพลาสติกปิโตรเคมีที่ผลิตใหม่

ที่มา..ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

ทหารเขมรยิงปืนค. ตกใกล้‘สไตรเกอร์’ ทหารไทยพลีชีพรายที่ 7 สมรภูมิ‘ตาพระยา’

เพจดังเผย F-16ไทยทิ้งไข่ใส่บ่อนกาสิโน-คลังน้ำมัน ย่านจุ๊บโกกี เขมร

แนะ'อนุทิน'เดินเกม 2 ทาง ไทยต้องชนะทั้งเขมร-เวทีโลก

‘ทอ.’ส่ง F-16 หย่อนไข่คลังน้ำมันเขมร แหล่งเก็บอาวุธหนัก-โดรนพลีชีพ

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved