EV อนาคตแห่งการขับเคลื่อนที่ยั่งยืน ฟันเฟืองสำคัญ สู่เทคโนโลยีพลังงานสะอาด

EV อนาคตแห่งการขับเคลื่อนที่ยั่งยืน ฟันเฟืองสำคัญ สู่เทคโนโลยีพลังงานสะอาด

วันอังคาร ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 09.34 น.

ในยุคปัจจุบันที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้กลายเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนสู่อนาคตที่ยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเดินทาง แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเป็นส่วนหนึ่งของการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรมการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันเป็นไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านระยะทางการขับขี่ที่เพิ่มขึ้น ราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และการขยายตัวของสถานีชาร์จไฟฟ้าที่ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ ทำให้ EV ไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่กลายเป็น “ทางออก” ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านไลฟ์สไตล์และสิ่งแวดล้อม และเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emissions ภายในปี 2050

รถยนต์ไฟฟ้า พลังขับเคลื่อนโลกสะอาด สู่การเติบโตที่ยั่งยืน


รถยนต์ไฟฟ้าช่วยลดโลกร้อนได้จริงหรือ? มีพลังมากแค่ไหนในการทำให้โลกสะอาดขึ้น และสามารถนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainability Growth) ได้อย่างไร? คำถามเหล่านี้ยังคงเป็นข้อสงสัยของหลายคน บทความนี้จึงขอพาทุกท่าน “ขยับเลนส์” ออกไปให้กว้างขึ้น เพื่อมองเห็นผลกระทบเชิงบวก (Positive Impact) และเหตุผลสำคัญที่ทำให้ EV กลายเป็นหนึ่งในกลไกหลักของการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตที่ยั่งยืน

อุตสาหกรรมขนส่งคือหนึ่งในต้นตอหลักของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กลายเป็นหัวใจของการเปลี่ยนผ่านสู่โลกที่สะอาดขึ้น คือบทบาทของอุตสาหกรรมขนส่งในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ซึ่งเป็นตัวการหลักของภาวะโลกร้อน

ข้อมูลจาก Climate Action Tracker ระบุว่า กว่า 15% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก มาจากภาคการขนส่ง และในจำนวนนี้ มากกว่า 72% เกิดจากการขนส่งทางถนน ซึ่งหมายความว่า หากเราสามารถเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป (Internal Combustion Engine: ICE) ไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าได้มากขึ้น ก็จะสามารถลดการปล่อย CO₂ ได้อย่างมีนัยสำคัญ EV จึงเปรียบเสมือน “ตัวเร่ง” ที่ช่วยให้โลกสะอาดขึ้น พร้อมขับเคลื่อนไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainability Growth) ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตในระยะยาว (ที่มา: Climate Action Tracker ณ ตุลาคม 2024)

ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของรถยนต์ไฟฟ้า

จากข้อมูลของ U.S. Department of Energy ปี 2565 พบว่า ตลอดอายุการใช้งาน รถยนต์ไฟฟ้าล้วน (All Electric) สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้มากถึง 70% เมื่อเทียบกับรถยนต์ใช้น้ำมัน (Gasoline) โดยเฉลี่ยแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าล้วนปล่อย CO₂ เพียง 2,551 ปอนด์/ปี ในขณะที่รถยนต์ใช้น้ำมันปล่อย CO₂ สูงถึง 12,584 ปอนด์/ปี เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าล้วนจะไม่มีการปล่อยไอเสียจากท่อ ทำให้ความเข้มของคาร์บอนต่ำกว่ารถยนต์น้ำมันถึง 67% ตลอดอายุการใช้งาน (ที่มา: ZETA)

แม้แหล่งกำเนิดของพลังงานไฟฟ้าส่วนหนึ่งยังคงมาจากพลังงานไฟฟ้าแบบดั้งเดิมที่เป็นการเผาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีส่วนก่อให้เกิดปริมาณก๊าซเรือนกระจก แต่ทิศทางของโลกกำลังมุ่งสู่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดมากขึ้นในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้การใช้ EV เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อมในระยะยาว (ที่มา: U.S. Department of Energy ณ ปี 2022)

EV ทางเลือกที่ประหยัดกว่า ดีต่อสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิต

นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ยังมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนการใช้งาน ที่ช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างชัดเจน โดยข้อมูลจาก U.S. Department of Energy ระบุว่า ผู้ที่เปลี่ยนมาใช้ EV สามารถประหยัดเงินได้มากกว่า 700 ดอลลาร์สหรัฐต่อปีจากค่าน้ำมัน และอีกประมาณ 330 ดอลลาร์สหรัฐจากค่าบำรุงรักษา เนื่องจาก EV มีชิ้นส่วนน้อยกว่า ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง และมีระบบขับเคลื่อนที่เรียบง่ายกว่า ผลลัพธ์คือ ต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ (Total Cost of Ownership) ที่ต่ำลง ซึ่งไม่เพียงช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แต่ยังสะท้อนถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในระยะยาว

นวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า กุญแจปลดล็อกสังคมไร้คาร์บอน

เมื่อทุกประเทศทั่วโลกต่างตั้งเป้าหมายเดียวกันคือการบรรลุ Net Zero Emissions ภายในปี 2050  คำถามสำคัญคือ เราต้องทำอะไรบ้าง และเมื่อไหร่? บทวิเคราะห์จาก Climate Action Tracker เรื่อง “Decarbonizing light-duty vehicle road transport” ได้ชี้ให้เห็นหมุดหมายสำคัญว่า หากโลกต้องการจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยไม่เกิน 1.5°C ภายในปี 2030 ประเทศพัฒนาแล้วต้องมีสัดส่วนรถยนต์ใหม่ที่เป็น EV อย่างน้อย 75-95% และเพิ่มเป็น 97-100% ภายในปี 2035 โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ขนาดเล็ก (Light-Duty Vehicles: LDVs) ได้แก่ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถเชิงพาณิชย์ขนาดเล็ก ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดบนท้องถนน และปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสัดส่วนสูง

แม้ตัวเลขเหล่านี้อาจดูท้าทาย แต่ในอีกมุมหนึ่ง นี่คือโอกาสครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมยานยนต์และนักลงทุนที่มองเห็นทิศทางของโลกใบใหม่ที่กำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในประเทศที่มีศักยภาพสูง เช่น สหรัฐฯ ยุโรป จีน อินเดีย อินโดนีเซีย แอฟริกาใต้ และบราซิล เป็นต้น เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพสูงทั้งด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ซึ่งเป็นแรงผลักดันที่สำคัญในการเปลี่ยนผ่าน EV มาแทนที่รถยนต์เครื่องยนต์สันดาป (ที่มา: Climate Action Tracker ณ ตุลาคม 2024)

ภาพนี้แสดงเส้นทางการคาดการณ์การเติบโตของตลาด EV ทั่วโลก แสดงให้เห็นว่า หากโลกต้องการบรรลุเป้าหมายตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) การเพิ่มสัดส่วนของ EV ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ และหลังปี 2035 เป็นต้นไป รถใหม่ที่จำหน่ายควรเป็น EV ทั้งหมด เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ดังนั้น “EV ไม่ใช่ทางเลือก แต่คือกุญแจสำคัญในการปลดล็อกอนาคตที่ยั่งยืนของโลกใบนี้”

ESG และ EV พลังการลงทุนเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตที่ยั่งยืน

เมื่อ EV คือ “อนาคต” และ ESG คือ “แนวทางการลงทุนที่ยั่งยืน” ทั้งสองสิ่งจึงผสมผสานกันอย่างลงตัว กลายเป็นโอกาสการลงทุนที่ไม่เพียงแสวงหาผลตอบแทน แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของ EV ซึ่งต้องอาศัยเงินลงทุนมหาศาลในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยและพัฒนา (R&D), โรงงานแบตเตอรี่, ระบบชาร์จไฟฟ้า และห่วงโซ่อุปทานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม EV จึงกลายเป็น Theme การลงทุนระยะยาวที่ผสานกันอย่างลงตัวระหว่าง ESG Theme และ Mega Trend โดยครอบคลุมตั้งแต่ นิคมอุตสาหกรรม, ชิ้นส่วนยานยนต์, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, ระบบขนส่งรถยนต์, แบตเตอรี่, อุปกรณ์ไฟฟ้า รวมไปถึงสถาบันทางการเงินที่สนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน (ที่มา: SETInvestnow ณ 25 ธันวาคม 2023)

ในขณะที่โลกกำลังเร่งเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ นักลงทุนสามารถมีส่วนร่วมผ่านการลงทุนในกองทุนรวมในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าโดยตรง เช่น กองทุนเปิด ยูไนเต็ด แบตเตอรี่ แอนด์ อีวี เทคโนโลยี ฟันด์ (UEV) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกองทุนที่ตอบโจทย์การลงทุนในเมกะ    เทรนด์ EV ได้อย่างชัดเจน กองทุน UEV มีระดับความเสี่ยง 6 (เสี่ยงสูง) โดยลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ  และ/หรือกองทุนรวมอีทีเอฟ (ETF) ตราสารทุนต่างประเทศ ที่มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์และ/หรือตราสารของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจ        ที่เกี่ยวข้องกับสายการผลิตแบตเตอรี่ ซึ่งครอบคลุมถึงการทำเหมืองไปจนถึงการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่และการผลิตแบตเตอรี่ และ/หรือบริษัทที่ดำเนินการและ/หรือได้รับประโยชน์จากการพัฒนาเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งในอนาคต เช่น รถยนต์, ยานพาหนะไฟฟ้า และ/หรือเทคโนโลยีดิจิตอลที่ใช้ในการขนส่ง เช่น การขับขี่อัตโนมัติ เป็นต้น โดยกองทุนมีนโยบายกระจายการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก และมี net exposure ในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมข้างต้นโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน กองทุน UEV จึงถือเป็นหนึ่งในกองทุนที่ตอบโจทย์การลงทุนในเมกะเทรนด์ EV

นอกจากนี้ บลจ. ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด ยังได้รับรางวัล Best ESG Engagement Initiative (Thailand) จาก Asia Asset Management Best of the Best Awards 2025 ซึ่งสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญและความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืนในระดับสากล

- 030

 

 

 

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top