วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2568
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ(คต.)เปิดเผยว่าในช่วง 9 เดือนของปี 2568 มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรี(FTA)ของไทยยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยมีมูลค่ารวม67,931.01ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ2.19 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันกับของปีก่อนหน้า6.97%โดยมีสัดส่วนการใช้สิทธิ81.54%ของมูลค่าสินค้าส่งออกที่ได้รับสิทธิพิเศษภายใต้FTAเป็นการส่งออกไปยังอาเซียนภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน(ATIGA) สูงสุดเป็น อันดับหนึ่งมูลค่า 24,001.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐมีสัดส่วนการใช้สิทธิ 69.68%
อันดับสองเป็นการใช้สิทธิฯภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน(ACFTA)มูลค่า 19,653.11 ล้านดอลลาร์สหรัฐสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 96.68% อันดับสาม ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 7,580.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐสัดส่วนการใช้สิทธิฯ73.77%อันดับสี่ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น(JTEPA) มูลค่า 5,171.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 83.57% และอันดับห้าความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 4,125.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 55.99%
โดยในภาพรวมสินค้าที่มีการใช้สิทธิFTAสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) ยานยนต์สำหรับขนส่งของ (2) ทุเรียนสด (3) ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ (4) แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) และ (5) เนื้อไก่ปรุงแต่ง ตามลำดับสะท้อนจุดแข็งทั้งด้านสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมโดยจีนยังคงเป็นตลาดยุทธศาสตร์สำคัญของสินค้าเกษตรเช่น ทุเรียนและมันสำปะหลัง ขณะที่อินเดียเติบโตโดดเด่นจากสินค้าอัญมณีและแพลทินัม เปิดโอกาสสำคัญให้ผู้ผลิตไทยโดยเฉพาะในกลุ่มแพลทินัมและโลหะมีค่าได้ใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี
สินค้าที่มีการใช้สิทธิฯสูงในช่วงมกราคม-กันยายนปี 2568 แบ่งเป็นสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป 5 อันดับแรกได้แก่ (1) ทุเรียน (2) เนื้อไก่ปรุงแต่ง (3) ชิ้นเนื้อและส่วนอื่นที่บริโภคได้ของสัตว์ปีกแช่แข็ง (4) น้ำตาลที่ได้จากอ้อย (5) ผลไม้สด (เงาะ ลำไย ทับทิมสด)มูลค่ารวม 19,635.85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วน 28.91% ของมูลค่าการใช้สิทธิฯทั้งหมดและสินค้าอุตสาหกรรม 5 อันดับแรกได้แก่ (1) ยานยนต์สำหรับขนส่งของ (2) ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ (3) แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) (4) เครื่องจักรอัตโนมัติ (5) เครื่องปรับอากาศแบบติดหน้าต่างหรือติดผนังมูลค่ารวม 48,295.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือคิดเป็นสัดส่วน 71.09%ของมูลค่าการใช้สิทธิฯ ทั้งหมด
โดยทุเรียนยังคงครองตลาดจีนอย่างแข็งแกร่งและเนื้อไก่มีการเติบโตตามความต้องการบริโภคในจีน และญี่ปุ่น สะท้อนความเชื่อมั่นต่อมาตรฐานการผลิตอาหารของไทย ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของไทย ที่ยังรักษาความได้เปรียบด้านฐานการผลิตภายในประเทศ
นางอารดา กล่าวว่า การเติบโตของการใช้สิทธิFTAของไทยไม่เพียงเป็นสัญญาณเชิงบวกด้านการส่งออกแต่ยังสะท้อนการยกระดับบทบาทของไทยในห่วงโซ่การผลิตโลกโดยFTA ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs และเป็นกลไกที่จะผลักดันให้ไทยก้าวสู่บทบาทแนวหน้าในเศรษฐกิจภูมิภาคในระยะยาว โดย FTA ฉบับใหม่ที่ไทยอยู่ระหว่างเร่งเจรจาได้แก่ ไทย-สหภาพยุโรป และไทย-เกาหลีใต้ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเปิด“ตลาดพรีเมียม”ของโลกและเข้าถึงผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงและให้ความสำคัญต่อคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัยของสินค้าโดยเฉพาะความตกลงไทย-สหภาพยุโรป ที่จะช่วยเชื่อมโยงไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานยุโรปส่งผลให้ไทยมีบทบาทโดดเด่นขึ้นในห่วงโซ่การผลิตระดับภูมิภาค
“กรมฯยังเดินหน้าทำงานเชิงรุกทั่วประเทศผ่านการจัดสัมมนาและอบรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับการใช้สิทธิFTA ตั้งแต่กฎถิ่นกำเนิดสินค้า การออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้ารวมถึงความคืบหน้าของFTA ฉบับใหม่ โดยในปีงบประมาณ 2569 กำหนดเป้าหมายพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไม่น้อยกว่า 1,300 ราย โดยเฉพาะกลุ่มSMEs โดยกรมฯ จะเดินสายจัดสัมมนาต่อเนื่องอาทิ ระนอง ปราจีนบุรี กรุงเทพมหานคร เชียงราย สงขลา พระนครศรีอยุธยา ตาก จันทบุรี พิษณุโลก และชลบุรี ต่อไป” นางอารดากล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี