ธปท.จับตา 4 ปัจจัยเสี่ยงกระทบเสถียรภาพการเงินไทย

ธปท.จับตา 4 ปัจจัยเสี่ยงกระทบเสถียรภาพการเงินไทย

วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 11.05 น.

ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)รายงานการติดตามเสถียรภาพระบบการเงินไทย ปี 2568 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ระบบการเงินไทยในภาพรวมมีเสถียรภาพ สามารถสนับสนุนกิจกรรมในภาคเศรษฐกิจจริง สถาบันการเงิน (สง.) ทั้งธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ(specialized financial institutions: SFIs) ผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (non-bank retaillenders: NBRLs) และสหกรณ์ออมทรัพย์ (สอ.) โดยรวมยังมีฐานะการเงินที่ดีแม้มีคุณภาพหนี้ด้อยลง

นอกจากนี้ ระดับหนี้ของภาคครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (gross domestic product: GDP)ทยอยปรับลดลงต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาวอย่างไรก็ตาม ภาคเศรษฐกิจและการเงินไทยยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนที่ยังมีต่อเนื่องจากปัจจัยทั้งภายในและนอกประเทศ อาทิ การดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวลดลงตามการส่งออกที่ได้เร่งตัวไปในช่วงก่อนหน้า การบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอลงตามแนวโน้มรายได้ที่ขยายตัวลดลง การลงทุนที่ฟื้นตัวช้าจากการรอประเมินสถานการณ์ของภาคธุรกิจและผลจากน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ประกอบกับปัญหาเชิงโครงสร้างและหนี้ครัวเรือนที่แม้จะลดลงต่อเนื่องแต่ยังอยู่ในระดับสูง จึงยังต้องติดตามความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพระบบการเงินในระยะถัดไปใน 4 ด้าน ได้แก่


(1) ภาวะการเงินที่ตึงตัวต่อเนื่องอาจส่งผลกระทบเพิ่มเติมต่อสภาพคล่องของธุรกิจและครัวเรือนรวมถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า สะท้อนจากการหดตัวของสินเชื่อและยอดคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชน ทั้งจากความต้องการสินเชื่อในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนและความระมัดระวังในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (small and medium enterprises: SMEs) ที่มีรายได้ลดลงและยังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างด้านความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงมีระยะเวลาการจ่ายเงินของสินเชื่อการค้า (credit term) ที่ยาวขึ้น โดย SMEs ขนาดเล็กมาก (micro SMEs) ได้รับสินเชื่อลดลงมากที่สุดในปี 2568และเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่ากลุ่มลูกหนี้ธุรกิจอื่น ขณะที่ครัวเรือนเปราะบางยังประสบปัญหาสภาพคล่องจากรายได้ไม่พอรายจ่ายและภาระหนี้ที่ยังอยู่ในระดับสูงทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ด้อยลงและกระทบการเข้าถึงสินเชื่อ นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ประกอบการ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่ออุปโภคบริโภคในกรณีที่หากประสบปัญหาอาจส่งผลต่อการชำระหนี้ของสินเชื่ออุปโภคบริโภคและทำให้คุณภาพสินเชื่อด้อยลงเพิ่มเติม (potential cross default)

(2) ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยภายในและภายนอกประเทศท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยังมีต่อเนื่อง โดยหากความเชื่อมั่นถดถอยลงอาจกระทบต่อความสามารถในการระดมทุนของภาคธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงเพิ่มเติม โดยเฉพาะหุ้นกู้อัตราผลตอบแทนสูง (high yield) ที่จะครบกำหนดในระยะข้างหน้า จากปัจจุบันที่นักลงทุนมีความระมัดระวังในการลงทุน (risk-off sentiment) และต้องการที่จะลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำมากอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี สำหรับบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับลงทุนได้(investment grade) โดยรวมคาดว่าจะสามารถต่ออายุหุ้นกู้ได้ตามปกติ

(3) บริษัทขนาดใหญ่ที่มีระดับหนี้สูง (highly leveraged large corporations: HLLCs)บางรายมีความเปราะบางมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทที่มีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนสูงหรือบริษัทที่เผชิญกับแรงกดดันจากรายได้ที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัว จึงต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้และการระดมทุนของ HLLCs กลุ่มดังกล่าวแก่เจ้าหนี้ที่มีทั้ง สง. และผู้ลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งหากประสบปัญหาอาจมีผลกระทบต่อเนื่องไปยังความเชื่อมั่นของนักลงทุน

(4) ฐานะการเงินของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (developer) บางรายที่เปราะบางภายใต้ภาวะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง แม้จะได้รับผลบวกจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มที่อยู่อาศัยหลังที่สองขึ้นไปหลังจากที่มีการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ในเดือนพฤษภาคม 2568 อย่างไรก็ดีอุปสงค์และกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวมากนักยังเป็นแรงกดดันต่อเนื่อง สะท้อนจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูง รวมถึงการเปิดโครงการใหม่มีแนวโน้มลดลง ขณะที่อุปทานคงค้างยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งจากภาวะดังกล่าวทำให้ฐานะการเงินของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางรายเปราะบางและมีความเสี่ยงในการต่ออายุหุ้นกู้(rollover risk) มากขึ้น

ทั้งนี้ ตั้งแต่การเผยแพร่รายงานเสถียรภาพระบบการเงินฉบับที่แล้วในเดือนเมษายนที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐได้มีการออกมาตรการในหลายด้านเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจการเงินในปัจจุบัน ทั้งการบรรเทาภาระหนี้ของลูกหนี้เพิ่มโอกาสในการชำระหนี้ของลูกหนี้และปิดจบหนี้ที่มีปัญหาได้เร็วขึ้น รวมถึงมาตรการที่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อแก่ผู้ที่มีศักยภาพที่ทำควบคู่กับการยกระดับศักยภาพและการแข่งขัน และมาตรการที่ช่วยให้การบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการระยะยาวเพื่อเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ระหว่างผลักดัน อาทิ

(1) การยกระดับกลไกการค้ำประกันเครดิต เพื่อลดความเสี่ยงจากการให้กู้ยืมแก่ SMEs โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีหลักประกันหรือมีหลักประกันไม่เพียงพอ ทำให้สง. มีแรงจูงใจในการให้สินเชื่อมากขึ้น

(2) การผลักดันโครงการ Your Data เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อและสนับสนุนการบริหารจัดการทางการเงินที่เหมาะสม เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิเรียกข้อมูลให้แก่ผู้ให้บริการสินเชื่อที่เข้าร่วมรับข้อมูล อันจะเป็นการทำให้ผู้ให้บริการสินเชื่อมีข้อมูลในการประเมินความเสี่ยงของผู้กู้ในการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น

 (3) การอนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) ที่ให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลที่มีต้นทุนต่ำกว่า สามารถให้สินเชื่อและเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกหนี้รายย่อยและ SMEs ที่มีต้นทุนการปล่อยสินเชื่อและติดตามความเสี่ยงที่ไม่คุ้มทุนภายใต้การดำเนินธุรกิจของ ธพ. ทั่วไปได้มากขึ้น

(4) การส่งเสริมกลไก Risk-BasedPricing (RBP) สำหรับสินเชื่อรายย่อยที่ไม่มีหลักประกัน เพื่อให้ผู้กู้กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามระดับความเสี่ยงของผู้กู้ ซึ่งจะช่วยให้ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำได้รับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ถูกลง และผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูงอาจเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้นหากผู้ให้กู้สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยได้สอดคล้องกับความเสี่ยง

(5) มาตรการเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นกู้ผ่านการยกระดับเกณฑ์การออกและเสนอขายตราสารหนี้ภาคเอกชน (corporate bonds) โดยสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBondMarket Association: ThaiBMA) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) อยู่ระหว่างศึกษาแนวทางการจัดทำแนวปฏิบัติเงื่อนไขทางการเงิน (financial covenants) สำหรับผู้ออกหุ้นกู้ในกลุ่ม high yield โดยพิจารณาให้เพิ่มข้อจำกัดในประเด็นสำคัญ เช่น การจำกัดการก่อหนี้ของบริษัทที่อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้หุ้นกู้ รวมถึงจำกัดการจ่ายเงินโดยควบคุมการจ่ายเงินที่อาจกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้หุ้นกู้

-031

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top