วันพฤหัสบดี ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568
สมาคมไทยรับสร้างบ้าน (Thai Home Builders Association: THBA) รายงานผลกระทบจากกรณีอื้อฉาวของตลาดรับสร้างบ้านหลังจากเกิดเหตุการณ์การรวมตัวของผู้บริโภคจำนวนมาก เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทรับสร้างบ้านรายหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่มีเครือข่ายสาขาจำนวนมาก โดยข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2568 ระบุว่ามีกลุ่มผู้เสียหายกว่า 163 คน จากทั่วประเทศได้รวมตัวกันร้องเรียนต่อกองบังคับการปราบปราม และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ขอบเขตของความเสียหายที่ประเมินมูลค่าก่อสร้างรวมสูงถึง 300 ล้านบาท ข้อกล่าวหาหลักที่ผู้เสียหายร้องเรียน มีพฤติการณ์ที่เป็นรูปแบบเดียวกัน ได้แก่ การทิ้งงาน บางกรณีพบว่ามีการดองงานนานถึง 4 ปี และการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน นอกเหนือจากการทิ้งงาน ยังมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับโครงสร้างบ้านที่ไม่ได้มาตรฐานตามแบบที่ตกลงไว้
วิเคราะห์วิกฤตการณ์ครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่าปัญหาอาจไม่ได้เกิดจากเจตนาฉ้อโกงตั้งแต่เริ่มต้น แต่เป็นผลพวงมาจากความล้มเหลวของโมเดลธุรกิจ (Business Model Failure) ที่นำไปสู่พฤติกรรมการฉ้อโกงภายหลัง ในกรณี 200 ครัวเรือน สร้างบ้านไม่ได้บ้าน ซึ่งเข้ากับกลยุทธ์การตลาดที่อันตราย คือการใช้ "สงครามราคา" (Price War) โดยการเสนอราคาค่าก่อสร้างต่อตารางเมตรในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาดอย่างมาก เพื่อดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มที่มีงบประมาณจำกัดและใช้ราคาเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ
ทั้งนี้กระบวนการที่นำไปสู่การล่มสลายสามารถอธิบายได้ดังนี้ 1. การตั้งราคาที่ไม่ยั่งยืน (Unsustainable Pricing) ผู้ประกอบการเสนอราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริงหรือมีอัตราค่าดำเนินงานและกำไรที่ต่ำมาก จนไม่สามารถรับมือกับความผันผวนของต้นทุนวัสดุหรือค่าแรงได้ 2. วิกฤตสภาพคล่อง (Cash Flow Crisis) เมื่อโครงการเริ่มดำเนินงาน ต้นทุนจริงสูงกว่าราคาที่รับงานไว ทำให้ประสบภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างรุนแรง 3. การลดต้นทุนจนเสียมาตรฐาน เพื่อรักษาอัตรากำไร ผู้ประกอบการจำเป็นต้องลดต้นทุนอย่างหนัก นำไปสู่การใช้วัสดุเกรดต่ำกว่าข้อตกลงหรือใช้ช่างที่ขาดทักษะฝีมือ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพและมาตรฐานของบ้านลูกค้า 4. การใช้กลไกแบบ Ponzi (Ponzi-like Mechanic) เพื่อให้สามารถดำเนินต่อไปงานต่อไปได้ จำเป็นต้องเร่งปิดการขายลูกค้ารายใหม่ (โดยใช้ราคาต่ำเป็นตัวล่อ) เพื่อนำเงินมัดจำ (Deposit) และเงินงวดแรกของลูกค้ารายใหม่ มาหมุนเวียนจ่ายค่าแรงและวัสดุโครงการเก่าที่กำลังประสบปัญหา 5. การล่มสลายของวงจร เมื่อวงจรนี้พังทลายลง (เช่น ไม่สามารถหาลูกค้ารายใหม่ได้เร็วพอ หรือโครงการเก่าเกิดปัญหาก่อสร้างที่ต้องแก้ไขจำนวนมากจนเงินหมุนไม่ทัน) ผู้ประกอบการจึงขาดสภาพคล่อง และการก่อสร้างหยุดชะงักทุกโครงการพร้อมกัน นำไปสู่การ "ทิ้งงานในที่สุด”
สำหรับผลกระทบที่รุนแรงที่สุดของคดีตัวอย่างที่กล่าวถึงนี้ไม่ใช่การสร้างความกลัวใหม่ในตลาด แต่คือการยืนยันว่าความกลัวที่ผู้บริโภคมีอยู่เดิมนั้นเป็นเรื่องจริงและเลวร้ายยิ่งกว่าที่คิด ในบริบทเดิมของตลาดรับสร้างบ้านนั้นเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยเว็บบอร์ดสาธารณะเต็มไปด้วยกระทู้เตือนภัย ตัวอย่างเช่น กลโกงของรับสร้างบ้าน, บทเรียนเตือนภัย จ้างบริษัทรับสร้างบ้านที่มีดีแค่การตลาด, และการตั้งคำถามเชิงโครงสร้างว่า "ทำไมวงการก่อสร้างถึงมีเรื่องทิ้งงานบ่อยมาก" ผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงเป็นผลกระทบเชิงจิตวิทยาลำดับที่สอง (Second-Order Effect) คือ 1. ความเชื่อเดิม ในอดีตผู้บริโภคเชื่อว่าปัญหาการทิ้งงานมักเกิดขึ้นกับ "ผู้รับเหมารายย่อย" หรือ "ช่างท้องถิ่น" ที่ไม่มีระบบการจัดการ 2. กลยุทธ์ลดความเสี่ยงเดิม ผู้บริโภคส่วนใหญ่จึงตัดสินใจยอมจ่ายแพงกว่า เพื่อเลือกใช้บริการ "รับสร้างบ้านรายใหญ่" ที่มีชื่อเสียง มีการตลาดที่น่าเชื่อถือ มีหลายสาขาและคาดหวังความเป็นมืออาชีพ 3. การทำลายกลยุทธ์ "รับสร้างบ้านตัวอย่างรายนี้" ซึ่งถูกรับรู้จากผู้บริโภคในฐานะ "ผู้ประกอบการรายใหญ่รายหนึ่ง" ได้ทำลายกลยุทธ์การลดความเสี่ยงนี้อย่างสิ้นเชิง 4. ข้อสรุปใหม่ ข้อสรุปที่ผู้บริโภคได้รับคือ "แม้แต่บริษัทที่คิดว่าใหญ่ก็เชื่อถือไม่ได้" สิ่งนี้สร้างสภาวะ "วิกฤตศรัทธา" (Crisis of Faith) ที่ลึกซึ้งกว่าเดิมอย่างมาก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี