l คำว่า “ความฉลาดทางการเงิน” หรือ Money Literacy เป็นคำที่มีการพูดถึงกันเยอะ ในหนังสือการเงินส่วนบุคคลสมัยใหม่
l พูดกันเยอะ ได้ยินกันบ่อย หลายคนเลยถามว่า ไอ้เจ้า “ความฉลาดทางการเงิน” เนี่ย มันคืออะไร
l เพราะถ้าจะศึกษาให้ครบถ้วน รอบด้าน ก็ต้องบอกว่า ความฉลาดทางการเงิน ก็คือ ความสามารถในการหารายได้ บริหารค่าใช้จ่าย เก็บออม และลงทุน ซึ่งฟังดูแล้วกว้างมาก
l [สนใจศึกษาความรู้การเงินส่วนบุคคลขั้นพื้นฐาน แนะนำอ่านหนังสือ คนไทยฉลาดการเงิน เขียนโดยจักรพงษ์ เมษพันธุ์ ถนอม เกตุเอม และศักดา สรรพปัญญาวงศ์ คลิกดูรายละเอียด https://goo.gl/116U11]
l แต่ถ้าจะสรุปให้สั้น และง่าย... “ความฉลาดทางการเงิน” ก็คือ ความสามารถในการแก้ไขปัญหาทางการเงินของตัวเอง
l คนเคยมีรายได้น้อย แล้วเพิ่มพูนศักยภาพตัวเอง เปลี่ยนอาชีพจนมีรายได้เพิ่มได้...แบบนี้ก็เรียก มีความฉลาดทางการเงินในการสร้างรายได้เพิ่ม
l คนเคยมีหนี้เหนื่อยหนัก อดทนกัดฟัน ควบคุมค่าใช้จ่าย หารายได้เสริม จนค่อยๆ ปลดหนี้ได้...แบบนี้ก็เรียก มีความฉลาดทางการเงินในการแก้ปัญหาหนี้
l คนไม่เคยเก็บออมเงินได้ เริ่มเก็บออมเงิน ใช้วิธีเก็บออมแบบอัตโนมัติ เริ่มจัดการเงินได้อยู่หมัด ไม่รั่วไหล... แบบนี้ก็เรียก มีความฉลาดทางการเงินในการเก็บออม
l หรือคนที่เคยลงทุนกี่ทีก็เจ๊ง เพราะเอาแต่ถามกับฟัง แล้วก็เชื่อแบบไม่รู้เรื่อง เริ่มต้นศึกษาพื้นฐานการลงทุน เริ่มต้นศึกษาหุ้นแต่ละบริษัทอย่างจริงจัง เริ่มลงทุนเป็น ลงทุนแล้วนอนหลับฝันดี...แบบนี้ก็เรียก มีความฉลาดทางการเงินในการลงทุนหุ้น
l แบบนี้เป็นต้น ...
l ดังนั้นความฉลาดทางการเงินของคนเรา จะพัฒนาไปได้ดี และเร็ว เมื่อเราพยายามที่จะเรียนรู้แก้ไขปัญหาที่พบด้วยตัวเอง รู้สึกทนไม่ได้ ชีวิตไม่เป็นเหมือนที่อยากเป็น ไม่นิ่งดูดาย และไม่รอคอยความช่วยเหลือ
l แต่ก็นั่นแหละ! ความรู้ทางการเงิน เป็นสิ่งที่เราไม่ได้เรียนกันในโรงเรียน ดังนั้น หลายครั้งพอเจอปัญหาเราก็อาจต้องอาศัยคำแนะนำจากคนอื่น หรือต้องถามผู้รู้
l ผมเองได้รับคำถามแบบนี้ทุกวัน วันละเยอะมากจนตอบไม่ทัน บางครั้งเห็นคำถามแล้วก็รู้สึกเหนื่อย ....
l เพราะน้อยคนที่จะลองคิดคำตอบ หรือแนวทางของตัวเองมาก่อน มาถึงก็เล่าเรื่อง แล้วถามเหมือนเชิงคิดให้หน่อย ว่าทำยังไง
l ตรงกันข้ามกับบางคนที่เล่าเรื่องตัวเอง แล้วก็บอกวิธีคิดหรือแนวทางแก้ปัญหาของตัวเองมาด้วย
l ซึ่งในมุมของผม คนในแบบหลังนี่แหละที่จะพัฒนาความฉลาดทางการเงินให้กับตัวเองได้เร็วกว่า เพราะถ้าคิดมาผิด ก็จะได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องกลับไป และเรียนรู้ได้เร็วกว่า เพราะใช้สมองเรียนรู้แนวทาง และประเมินทางเลือกให้กับตัวเองมาแล้ว
l ผิดกับกลุ่มแรก ที่เดี๋ยวมีปัญหา ก็กลับมาถามอีก ...
l หลายครั้งผมจึงมักถามพวกเขากลับไปเสมอว่า “แล้วเรามีแผนจะทำ หรือแก้ปัญหาอย่างไรบ้าง?”
l หลายครั้งปลายทางตอบกลับ หลายครั้งเงียบไปเลย ไม่ติดต่อใดๆ กลับมา และหลายครั้งต่อว่ากลับมาเล็กน้อยพองามประมาณ... “ถ้ากูรู้แล้วจะมาถามมึงมั้ย สัส!”
l ทั้งหมดก็สุดแท้แต่ ... เพราะผมเชื่อเสมอว่า ถ้าเป็นครูใจร้าย ที่ไม่หวังให้คนเรียนเติบโต และได้ดีด้วยตัวเอง ผมก็จะบอกทุกอย่าง เหมือนเขียนใบจ่ายยา
l แต่ด้วยวิธีที่ทำอยู่ในปัจจุบันนั้น อยากช่วยให้แก้ปัญหาเองได้ และเปลี่ยนเขาเป็น Active Learner เป็นคนที่จะหาทางเรียนรู้และช่วยเหลือตัวเอง และที่สำคัญ... หัด “คิดเอง” เองก่อน เพื่อประมวลความรู้ที่อ่าน ที่ดูและค้นคว้ามา (และที่ดีสุด คือ ลดภาระกูในอนาคตด้วย)
l ผมเชื่อเสมอว่าการสร้างความฉลาดทางการเงินเป็นเรื่องสนุก! และในท้ายที่สุด คนที่ไม่หยุดคิดหาคำตอบไม่หยุดเรียนรู้ จะกลายเป็นคนที่เก่งเรื่องเงิน และสร้างความมั่งคั่งได้ในที่สุด
l เป็นกำลังใจให้ทุกชีวิตที่มุ่งมั่นสู่อิสรภาพทางการเงินครับ
l#TheMoneyCoachTH
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี