บริษัทหลักทรัพย์(บล.)คจีไอ(ประเทศไทย)วิเคราะห์หุ้นบมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ หรือ BDMS กำไรสุทธิใน 4Q60 ทรงตัว YoY แม้ว่าบริษัทมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นถึง 34% YoY เป็น 330 ล้านบาท เนื่องจากมีการออกหุ้นกู้ 7 พันล้านบาท ในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 สำหรับผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงพยาบาลใน 4Q60 รายได้เพิ่มขึ้น 6.8% YoY แต่ลดลง 4.2% QoQ อยู่ที่ 1.78 หมื่นล้านบาท กำไรที่เพิ่มขึ้น YoY มาจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้จากโรงพยาบาลทั้ง 45 แห่ง ในเครือข่ายของบริษัท แต่กำไรลดลง QoQ เนื่องจากตามปกติแล้ว 4Q จะเป็นช่วง low season ของ BDMS อยู่แล้ว อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นเล็กน้อย YoY เป็น 30.0% จาก 29.9% ใน 4Q59 แต่ลดลงจาก 32.3% ใน 3Q60 ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น YoY และ case mix index (CMI) ใน 4Q60
นอกจากนี้ รายได้จากผู้ป่วยชาวไทยยังเพิ่มขึ้น 5% YoY ขณะที่รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติเพิ่มขึ้น 9% YoY รายได้จากโรงพยาบาลที่อยู่ในกรุงเทพฯเพิ่มขึ้น 6% YoY ส่วนรายได้จากโรงพยาบาลในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น 7% YoY ทั้งนี้ โรค high intensity ที่ผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 ถึงปี 2560 ได้แก่ การบาดเจ็บ, หัวใจ, มะเร็ง, หลอดเลือดสมอง, และ กระดูก
BDMS ตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยประกันสุขภาพซึ่งอยู่ที่ 26% ในปี 2560 เพิ่มขึ้นจาก 22% และ 24% ในปี 2558-2559 โดยเรามองว่าเป็นก้าวที่ดีในแง่ของการกระจายฐานลูกค้า และสร้างเสถียรภาพให้ผลการดำเนินงาน เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้มีศักยภาพในการเติบโตสูง และยั่งยืนมากกว่าในระยะยาว ทั้งนี้ รายได้จากผู้ป่วยที่ชำระค่ารักษาพยาบาลด้วยตนเองคิดเป็นสัดส่วน 58% ของรายได้รวม รองลงมาคือรายได้จากผู้ป่วยประกัน (26%), รายได้จากผู้ป่วยที่ทำสัญญาไว้ (9%), ผู้ป่วยอื่นๆ (5%) และผู้ป่วยประกันสังคม (2%)
หลังจากที่บริษัทประกาศผลประกอบการปี 2560 ออกมา เราได้ปรับประมาณการกำไรปี 2561 เล็กน้อย โดยปรับลดประมาณการกำไรจากธุรกิจหลักลง 3.4% เป็น 8.86 พันล้านบาท (+10.4% YoY) เราได้ปรับเพิ่มสมมุติฐานอัตราการเติบโตของรายได้เป็น 8.6% จากเดิม 6% แต่ปรับลดสมมุติฐานอัตรากำไรขั้นต้นลงเหลือ 30.7% จากเดิม 31% และปรับเพิ่มสมมุติฐานค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยขึ้นจากเดิมอีกประมาณ 220 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เรามองว่าแนวโน้มกำไรของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจาก i) ผู้ป่วยมี intensity สูงขึ้น ii) คุมค่าใช้จ่าย SG&A ได้ดี และ iii) การเลื่อนเปิดดำเนินการส่วนขยายของ Wellness Clinic เต็มรูปแบบออกไปถึง 2H62 ซึ่งจะส่งผลดีต่อค่าเสื่อมราคาที่เลื่อนไปให้สอดคล้องกับการรับรู้รายได้จากการเปิดให้บริการของศุนย์ดังกล่าว
เรายังคงคำแนะนำซื้อ และให้ราคาเป้าหมายที่ 25.00 บาท (DCF; WACC ที่ 8.0% และ TG ที่ 3.0%) ขณะที่ความเสี่ยงหลักจะมาจากปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองรอบใหม่ของไทย และการเกิดเหตุก่อการร้ายครั้งใหญ่
ที่มา : บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี