ต้องยอมรับว่าโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี)..เป็นผลงานด้านเศรษฐกิจที่โดดเด่นของรัฐบาล..และหลังจากที่พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 ได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 15 พ.ค. เป็นต้นมา นับเป็นการจุดพลุฉลองครั้งใหญ่ให้กับการลงทุนในประเทศไทย ที่พร้อมเชื่อมโลกให้โลดแล่นอีกครั้ง...และเป็นสิ่งที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั่วโลก.. สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่...อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ...การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ... การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ... การแปรรูปอาหาร... หุ่นยนต์...การบินและโลจิสติกส์...เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ.. ดิจิทัล และการแพทย์และสุขภาพครบวงจร...
แต่สิ่งที่สังคมอาจจะไม่รู้มากนักว่า อีอีซีนั้นไม่ได้มีเป้าหมายเพียงด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว...แต่ยังเล็งผลเลิศในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่และเป็นกลไกต้นแบบที่จะกระจายความมั่งคั่งออกไปสู่ภูมิภาค...ไม่ใช่กระจุกตัวอยู่แต่ในเมืองหลวงเท่านั้น...ในพ.ร.บ.อีอีซี...มาตรา 61 ได้กำหนดไว้ให้จัดตั้งกองทุนพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก...วัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ ชุมชน และประชาชนที่อยู่ภายในหรือที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยเงินและทรัพย์สินที่เป็นของกองทุนไม่ต้องนำส่งคลังเพื่อเป็นรายได้แผ่นดินโดยให้สำนักงานอีอีซีบริหารจัดการแยกออกจากงบของสำนักงาน...แน่นอนว่านี่น่าจะเป็นเครื่องยืนยันให้ประชาชนในพื้นที่มั่นใจได้ว่าที่จะได้รับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น...
ทั้งนี้จากการที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ บอร์ดอีอีซี ได้ลงพื้นที่พบปะชุมชนในพื้นที่ ...รวมการประชุมรับฟังความคิดเห็นกับหน่วยงานต่างๆ เช่น บมจ. พีทีที โกลบอลเคมีคอล ...ที่เปิดให้รับฟังความคิดเห็นเรื่องรายงาน และมาตรการป้องกันแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ จ.ระยอง ก็พบว่าผู้นำชุมชนและท้องถิ่นต่างก็ให้การตอบรับร่วมแสดงความคิดเห็นและให้ข้อมูลกับหน่วยงานรัฐอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอีอีซีเป็นอย่างดี
“โครงการอีอีซี มีจุดมุ่งหมายพัฒนาประเทศที่ดีแต่สิ่งที่ควรทำควบคู่กันคือให้ระมัดระวังผลกระทบต่อชุมชนสิ่งแวดล้อม พื้นที่ทำกินของชาวบ้าน หากกระทบต่อวิถีชีวิต ชุมชน สิ่งแวดล้อมรัฐควรมีการชดเชย เยียวยาให้ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงซึ่งเห็นด้วยอย่างยิ่งที่รัฐจะมีกองทุนพัฒนาชุมชน รอบ EEC และสิ่งสำคัญคือการใช้ข้อบังคับทางกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง” นายสุพจน์ พูลสวัสดิ์ ผู้นำชุมชนและวิทยุชุมชนท้องถิ่น อำเภอเมือง จ.ฉะเชิงเทรา ได้กล่าวแสดงความคิดเห็น... ขณะที่นายกิตติธัช ภูธนะโภคิน ผู้นำชุมชน จ.ชลบุรี... ก็สะท้อนความเห็นว่า โครงการ EEC ควรมีการพัฒนาฝีมือแรงงาน ยกระดับความรู้ทักษะของคนในพื้นที่ด้วยเพื่อให้ใช้เทคโนโลยีได้ เกิดการกระจายรายได้และตอบสนองต่อภาคอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ....สอดคล้องกับความเห็นของ นายทวีศักดิ์ น้อยเจริญ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ตำบลเทพราช อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่มองว่าโครงการ EEC ควรพัฒนาโดยคำนึงถึงเอกลักษณ์ วัฒนธรรมของท้องถิ่น ควรมีการป้องกันผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือภัยพิบัติต่างๆ.....
แน่นอน เสียงสะท้อนเหล่านี้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำมาเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดแนวทางการบริหารเพื่อพัฒนาให้พื้นที่อีอีซี...และรัฐเองไม่ได้มองการพัฒนาเฉพาะภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่แต่ยังมองถึงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ภาคเกษตรในพื้นที่ควบคู่กัน...ยกตัวอย่างโครงการจัดตั้งระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (Eastern Fruit Corridor : EFC) ที่จะตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม Smart Park จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ EEC มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อผลักดันให้ไทยเป็น “มหานครผลไม้โลก” ภายในปี 2564….
ถึงตรงนี้ก็บอกได้ว่า อีอีซี ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0.. ด้วยการพัฒนาเชิงพื้นที่ที่ต่อยอดความสำเร็จมาจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออิสเทิร์นซีบอร์ด...ที่จะเปลี่ยนผ่านประเทศไทยจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูงด้วยการลงทุนด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรม และปฏิเสธไม่ได้ว่าอีอีซีเป็นความหวังและโอกาสครั้งสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องรีบไขว่คว้าร่วมมือกันเพื่อช่วยทำให้คุณภาพชีวิตของคนไทยในอนาคตมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนทุกด้าน...
พงษ์พันธุ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี