ที่ดินถือว่าเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญมาก เพราะใช้เป็นที่อยู่อาศัย และมีความสำคัญต่อภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม รัฐจึงต้องทำหน้าที่สำคัญในการรับรอง คุ้มครองสิทธิของประชาชนด้วยการออกเอกสารสิทธิในที่ดิน
การออกเอกสารสิทธิในที่ดิน จะต้องเป็นที่ดินที่ผู้มีสิทธิในที่ดินได้ครอบครองและทำประโยชน์ เช่น ใบจอง (น.ส.2) ใบไต่สวน (น.ส.5) แบบสอบสวนเพื่อออกโฉนดที่ดิน หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3, น.ส.3ก.) โฉนดที่ดิน (น.ส.4, น.ส.4ก.)
ที่ดินบางแห่งสามารถสร้างรายได้ให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นจำนวนเงินมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดินริมทะเล ริมเกาะ ใกล้เขตอุทยานแห่งชาติ เนื่องจากสามารถนำมาพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น สร้างรีสอร์ท โรงแรม บ้านพักตากอากาศ ทำให้ผู้มีอิทธิพล ผู้มีฐานะการเงิน มั่งคั่ง ต้องการครอบครองเป็นเจ้าของที่ดิน ไม่ว่าการจะทำตามกฎหมาย หรือฝ่าฝืนกฎหมาย
เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2561 ศาลแพ่งอุทธรณ์ภาค 8 ได้มีคำพิพากษากลับให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ชนะคดีครอบครองเกาะปอดะ จังหวัดกระบี่ และให้ผู้ครอบครองซึ่งเป็นอดีตนายกเทศมนตรีเมืองกระบี่หลายสมัย ออกจากที่ดินแปลงพิพาท
เกาะปอดะ ตั้งอยู่ในจังหวัดกระบี่ อยู่ห่างจากฝั่งอ่าวนางประมาณ 8 กิโลเมตร หากยืนอยู่ริมหาดที่อ่าวนาง เมื่อมองออกไปที่ทะเลจะเห็นหมู่เกาะเล็กใหญ่กระจุกตัวอยู่ ในบริเวณใกล้ๆ กัน
เกาะใหญ่ที่สุดในนั้นคือ เกาะปอดะ เป็นเกาะที่มีชื่อเสียงมาก และเป็นที่รู้จักกันอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบทะเล และดำน้ำชมปะการัง แต่ละวันมีนักท่องเที่ยวมาที่เกาะปอดะนี้ หลายร้อยคนจนถึงหลักพันคน
มีการประเมินว่า เกาะปอดะมีมูลค่านับพันล้านบาท
คดีเกาะปอดะมี 2 คดี คดีแรกกรมอุทยานแห่งชาติเป็นโจทก์ฟ้องผู้ครอบครอง อดีตนายกเทศมนตรีเมืองกระบี่ ตั้งแต่ปี 2528 ที่ครอบครอง น.ส. 3 ก. รวม 4 ฉบับ เนื้อที่ 50 ไร่ จนเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2554 ศาลฎีกาตัดสินให้กรมอุทยานแห่งชาติชนะคดี ในปี พ.ศ. 2557 กรมอุทยานแห่งชาติ จึงได้เข้ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามคำพิพากษา
เมื่อกรมอุทยานแห่งชาติได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามคำพิพากษาฎีกาในคดีแรกนั้น ผู้ครอบครองคนเดิมได้อ้างสิทธิตามเอกสาร ส.ค.1 เนื้อที่ 71 ไร่ ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินในคดีแรกว่าครอบครอง
มาก่อน จึงได้เข้าปักรั้วลวดหนาม และให้กรมอุทยานแห่งชาติ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของกรมอุทยานแห่งชาติที่ได้รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของผู้ครอบครองคนเดิมแปลงที่ 2 นี้ (กรมอุทยานแห่งชาติชนะคดีแรก จึงได้สร้างสิ่งปลูกสร้างในที่ดินซึ่งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และสิ่งปลูกสร้างบางส่วนรุกล้ำเข้ามาในที่ดินอีกแปลงของผู้ครอบครองคนเดิม)
จึงเป็นที่มาว่า ผู้ครอบครองได้ฟ้องคดีกรมอุทยานแห่งชาติเป็นคดีที่สองคดีหนึ่ง ในคดีที่สองนี้ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้กรมอุทยานแห่งชาติแพ้คดี แต่ศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้กรมอุทยานแห่งชาติชนะคดีที่สองนี้
ในชั้นอุทธรณ์กรมอุทยานแห่งชาติได้ยื่นอุทธรณ์ โดยวิเคราะห์คำพิพากษาศาลชั้นต้นมีการกำหนดประเด็นหาข้อเท็จจริง ประเด็นแรก ภาพถ่ายทางอากาศ พ.ศ. 2510 ที่ดินแปลงพิพาทไม่มีการทำประโยชน์ ยังมีสภาพเป็นป่า ขัดกับหลักฐานที่ผู้ครอบครอง อ้างว่า อยู่มาตั้งปี พ.ศ. 2475 นอกจากนี้ กรมวิชาการเกษตรได้นับอายุต้นมะพร้าวตามหลักสากล ซึ่งผู้ครอบครองระบุว่า ปลูกเมื่อปีพ.ศ. 2510 แต่รัฐระบุว่า ปลูกปี พ.ศ. 2515 พบว่า มีอายุ 45 ปี และถ้าส.ค.1 ตรงแปลง และปลูกมะพร้าวจริง มะพร้าวจะมีอายุ 65 ปี การนับอายุต้นมะพร้าว จึงมีน้ำหนักมีความน่าเชื่อถือ ประเด็นที่สอง ส.ค.1 เลขที่ 2 ที่ผู้ครอบครอง ใช้กล่าวอ้างว่า ติดกันกับ ส.ค.1 เลขที่ 1 ศาลได้พิจารณาแล้วว่า ส.ค. 1 เลขที่ 1 และเลขที่ 2 มีเนื้อที่รวมกัน 121 ไร่เศษ ส่วนพื้นที่พิพาทมีเพียง 77 ไร่เศษ และศาลได้พิพากษาให้เพิกถอน น.ส. 3 ก. ที่ออกมาจากส.ค. 1 เลขที่ 1 และ 2 ทั้งหมดแล้ว เหตุผลนี้ ทำให้กรมอุทยานแห่งชาติชนะคดีในชั้นอุทธรณ์
อย่างไรก็ตาม คดีนี้ผู้ครอบครอง สามารถยื่นฎีกาได้ภายในหนึ่งเดือน นับจากวันที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา แต่กรมอุทยานแห่งชาติได้ยืนยันว่า หากผู้ครอบครองจะยื่นฎีกา กรมอุทยานแห่งชาติจะยังต่อสู้ เพื่อเอาที่ดินของรัฐมาเป็นที่ของส่วนรวมให้ได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ทางกรมอุทยานแห่งชาติมีจุดยืนเช่นนี้
คดีนี้จัดได้ว่า เป็นความร่วมมือบูรณาการดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นกรมอุทยานแห่งชาติ กรมที่ดิน กรมวิชาการเกษตร เพื่อเอาทรัพยากรธรรมชาติกลับมาเป็นสมบัติชาติไม่ให้ตกเป็นของ
ผู้หนึ่งผู้ใด เกาะปอดะถือเป็นสถานที่ที่เป็นทรัพยากรของโลก ควรจะเป็นพื้นที่ส่วนรวมที่ได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน
คดีนี้ยังจะใช้เป็นแนวทางการต่อสู้คดีพิพาทคดีอื่นๆ ที่เอกชนเข้ามาบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติอีกด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี