เมื่อปีพ.ศ. 2420 หรือ 141 ปี โทมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Elva Adison) ที่รู้จักกันดีว่าเป็นผู้ประดิษฐ์หลอดไฟ ได้ประดิษฐ์เครื่องบันทึกเสียง (Phonograph) เครื่องแรก โดยใช้หัวเข็ม 2 เข็ม บนแท่งดีบุกทรงกระบอก (Tin foil machine) เข็มแรกสำหรับการบันทึก และเข็มที่สองสำหรับการเปิดฟัง คำแรกที่บันทึกคือ “Mary had a little lamb” เครื่องบันทึกเสียงนี้ เมื่ออัดเสียงแล้ว ฟังได้แค่ 2-3 ครั้ง หลังจากนั้นแผ่นฟอยล์จะยับยู่ยี่และไม่สามารถใช้การได้
ต่อมาปีพ.ศ. 2429 อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ (Alexander Graham Bell) ชิเชสเตอร์ เบลล์ (Chichester Bell) และ ชาร์ลส์ เทนเทอร์ (Charles Tainter) ได้ร่วมกันพัฒนาโดยใช้แท่งกระบอกกระดาษเคลือบขี้ผึ้ง (Graphaphone) ทำให้สามารถเล่นกลับได้หลายครั้ง จนในปีพ.ศ.2430 อีมิล เบอร์ไลเนอร์ (Emile Berliner) ได้เริ่มบันทึกเสียงบนแผ่นเสียงที่ทำจากครั่ง โดยบันทึกร่องเสียงลงไปในแนวนอนแทนแนวตั้งแบบแท่งทรงกระบอก และเริ่มทำเป็นอุตสาหกรรม ต่อมาในปีพ.ศ. 2491 แผ่นเสียงไวนิล (Vinyl) บางทีเรียกว่าแผ่นเสียง / อัลบั้มลองเพลย์ (Long played record /album) ได้เริ่มวางขายและได้รับความนิยม เพราะคงทนและยืดหยุ่นกว่าแผ่นครั่ง ทั้งบันทึกเสียงได้มากกว่า มีเสียงรบกวนน้อยกว่าและมีน้ำหนักที่เบา
ในปีพ.ศ. 2497 ได้มีการทำเครื่องบันทึกเสียงสเตริโอ (Stereo-Solar Terrestrial Relations Observatory) โดยสามารถแยกเสียงซ้ายขวา เพิ่มมิติในการฟังต่อมาในปีพ.ศ. 2505 มีการบันทึกเสียงบนแถบแม่เหล็ก ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะสามารถพกพาและเล่นในรถได้ ที่เรียกว่า เทปคาสเซ็ท (Cassette Tapes) เครื่องเล่นเทปแบบพกพายอดฮิตในยุคนั้นคือ “Sony Walkman”
หลังจากนั้นได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างเรื่อยมา จนช่วงปีพ.ศ. 2523 ได้มีอุปกรณ์เครื่องเล่นภาพและเสียงที่รู้จักในชื่อ “วีดีโอ (VDO-Video)” วางจำหน่าย โดยจะบันทึกข้อมูลทั้งภาพเคลื่อนไหว และเสียง ลงในแถบแม่เหล็ก และแถบนั้นจะม้วนอยู่บนวงล้อ แต่ละม้วนดูได้ 1-2 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความจุ ต่อมา 2-3 ปีให้หลัง บริษัทโซนี่และฟิลิปส์ ที่ได้มีการพัฒนาอุปกรณ์การบันทึกเสียงอยู่เรื่อยมา จนสามารถทำให้มีน้ำหนักเบา กลายเป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลดิจิทัล นั่น คือ “ซีดี (CD-Compact Disc)” มีการวางจำหน่ายในเชิงพาณิชย์และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง จนในปีพ.ศ. 2536 มีการบันทึกที่มีทั้งภาพและเสียงลงในแผ่นที่เรียกว่า “วีซีดี (VCD-Video CD)” และในปีพ.ศ. 2539 มีการพัฒนาเป็น “ดีวีดี (Digital Video Disc/ Digital Versatile Disc)” ที่สามารถบรรจุข้อมูลได้มากกว่า
แม้ดีวีดีที่ถือว่า สามารถบรรจุข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก แต่สำหรับนักพัฒนาคงไม่หยุดอยู่แค่นั้น ในปีพ.ศ. 2541 ได้มีการบรรจุข้อมูลที่เรียกว่า “เอ็มพี 3 (MP3)” เป็นการเข้ารหัสสัญญาณเสียงดิจิทัล สามารถบีบอัดไฟล์เสียงให้มีขนาดเล็ก และส่งผ่านทางอินเตอร์เนตได้ต่อมาและมีการพัฒนาเป็น “MP4” ที่มีทั้งเสียงและภาพ
ยุคอนาล็อกในช่วงปีพ.ศ. 2525- 2535 วีดีโอได้รับความนิยมมาก ทำให้มีธุรกิจร้านขายวีดีโอและร้านให้เช่าวีดีโอ ช่วงนี้ซีรี่ส์ฮ่องกง/จีนทั้งสากล และกำลังภายในได้รับความนิยมมากธุรกิจร้านเช่าวีดีโอเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ละร้านต้องสำรองซีรี่ส์ไว้หลายชุด เพื่อให้ผู้เช่าได้ชมอย่างทั่วถึงเทปเพลงคาสเซ็ทต่างมียอดขายดีเช่นกัน
จากการสำรวจของบริษัท ซุปเปอร์ เดอลักซ์ (Super Deluxe) พบว่า ในปีพ.ศ. 2533 เทปคาสเซ็ททั่วสหรัฐอเมริกามียอดจำหน่ายไม่ต่ำกว่า 442 ล้านตลับ
กาลเวลาผ่านไป ยุควีดีโอเริ่มหมดไป เพราะมีทั้งวีซีดีและดีวีดีเข้ามาแทนที่ตามลำดับ ในช่วงปีพ.ศ. 2540 ธุรกิจร้านให้เช่าวีดีโอเริ่มปิดตัวลง เพราะธุรกิจให้เช่าวีซีดีและดีวีดีเข้ามาแทนที่ในขณะที่ช่วงปีพ.ศ. 2545-2546 ค่ายเพลงหลายค่ายได้ยุติการบรรจุเพลงในเทปคาสเซ็ท และในปีพ.ศ. 2552 ยอดจำหน่ายเทปคาสเซ็ททั่วสหรัฐอเมริกามีเพียง 34,000 ตลับเท่านั้น
จนเมื่ออินเตอร์เนตเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน ยิ่งในยุคไทยแลนด์ 4.0 การเชื่อมต่อทำได้ง่าย ทำให้ในปัจจุบันไม่มีธุรกิจให้เช่าวีซีดีและดีวีดีแล้ว ผู้คนสามารถโหลดดูทั้งภาพยนตร์ทั้งเก่าและใหม่ ทั้งสามารถฟังเพลงผ่านทางเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีทั้งให้แบบไม่มีค่าใช้จ่ายและแบบเสียค่าสมาชิก
เมื่อยุคอนาล็อกต้องหลีกทางให้ยุคดิจิทัล ทำให้เครื่องเล่นเทปคาสเซ็ท เครื่องเล่นวีดีโอ ไม่มีวางจำหน่ายให้เห็นอีกต่อไป เด็กยุคดิจิทัลส่วนมากคงไม่รู้จัก และเคยเห็นหรือเคยได้ฟัง เว้นแต่ที่บ้านยังมีคุณพ่อ คุณแม่ที่ยังเสียดาย และต้องการเก็บไว้เป็นที่ระลึก ในขณะที่หลายบ้านอาจเห็นว่าเทอะทะและเกะกะ จึงขายให้รถรับซื้อของเก่าไปนานแล้ว
หลายคนอาจคิดว่า อีกไม่นานสื่อที่ให้ความบันเทิงในยุคอนาล็อกคงต้องหมดไป แต่แท้จริงแล้วสื่อที่ให้ความบันเทิงในยุคอนาล็อกกลับเริ่มมาได้รับความนิยมอีก ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีร้านขายเทปคาสเซ็ทชื่อ “วอลทซ์ (Waltz)” เปิดเมื่อปีพ.ศ. 2558 เป็นร้านที่มีเทป
คาสเซ็ทมากกว่า 5,000 ตลับ วางจำหน่ายที่มีทั้งเพลงยอดฮิตติดบิลบอร์ด จากฝั่งอเมริกาและยุโรป หรือของญี่ปุ่น ทั้งยังมีเพลงเก่าที่หายากไม่ว่าจะเป็นยุค 50, 60, 70 และ 80 ร้านนี้ยังวางจำหน่ายเครื่องเล่นเทปที่สามารถฟังวิทยุได้ และที่ขาดไม่ได้ คือ Sony Walkman ซึ่งส่วนมากจะเป็นเครื่องที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว หรือเป็นเครื่องที่ใช้ไม่ได้แล้ว นำมาซ่อมใหม่ เมื่อนำมาเล่นเสียงยังชัดแจ๋ว ร้านนี้ถือว่าดังมากในญี่ปุ่น แต่ละวันจะมีลูกค้ามาอุดหนุนจำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คนที่ชอบเสียงเพลงแบบอนาล็อกยังมีอยู่
เทปคาสเซ็ทอาจมีลักษณะเฉพาะตัวที่ดูคลาสสิก และดลใจศิลปินชื่อดังอย่างจัสติน บีเบอร์ (Justin Bieber) ที่ได้ออกอัลบั้ม “Purpose” เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ในรูปเทปคาสเซ็ท หรือวงเดอะวีคเอนด์ (The Weeknd) ที่ออกอัลบั้ม “Beauty Behind the Madness” เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2558 แม้กระทั่งภาพยนตร์ “เรื่องรวมพันธุ์นักสู้พิทักษ์จักรวาล (Guardians Of The Galaxy)” ได้ทำอัลบั้มซาวนด์แทร็คหนังเรื่องนี้เป็นเทปคาสเซ็ทชื่ออัลบั้ม “Guardians of the Galaxy Vol. 1” ออกมาขายในปีพ.ศ. 2557 และในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2560 ออกอัลบั้ม “Guardians of the Galaxy Vol. 2” แบบเทปคาสเซ็ทและในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2560 ได้ออกเป็นแผ่นเสียงไวนิล ต่างได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
จากข้อมูลบิลบอร์ด (Billboard) หน่วยธุรกิจที่เกี่ยวกับความบันเทิงพบว่าเมื่อปีพ.ศ. 2560 ยอดขายเทปคาสเซ็ทในสหรัฐอเมริกาเติบโตถึงร้อยละ 74
แม้ยุคนี้จะเป็นยุคดิจิทัล แต่ความชื่นชอบของผู้คนที่ยังนิยมในอนาล็อก ยังคงมีอยู่ และคงไม่หมดไปง่ายๆ แม้กระทั่งเว็บไซต์ยักษ์ใหญ่อย่างอะเมซอน (Amazon) ยังมีเครื่องเล่นและเทปคาสเซ็ทขาย
หลายคนคงต้องสำรวจบ้านตนเองแล้วว่ายังมีอุปกรณ์อนาล็อกหลงอยู่หรือไม่? คงต้องมาปัดฝุ่นแล้ว เพราะอนาล็อกเริ่มคืนชีพแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี