จากกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา เมื่อไม่นานมานี้ ให้เพิกถอนมติสภามหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) กาญจนบุรี ในการประชุม ครั้งที่ 11/2551 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ที่แต่งตั้งผู้รักษาการแทนอธิการบดี โดยวินิจฉัยว่า เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะมีอายุเกิน 60 ปี
หากคำพิพากษาฉบับนี้ สามารถใช้ได้เป็นบรรทัดฐาน จะมีผลใช้บังคับกับสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ ไม่เพียงแต่ตำแหน่งอธิการบดี แต่ยังรวมถึงตำแหน่งรองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี ที่ปรึกษาอธิการบดี คณบดี ผู้อำนวยการสำนัก
หลังจากที่มีคำพิพากษาศาลปกครองฉบับนี้ ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งต่างฝ่ายต่างต้องหาเหตุผลมาสนับสนุนกับความคิดเห็นของตน
ฝ่ายที่เห็นด้วยพิจารณาว่า คำพิพากษานี้สามารถใช้เป็นบรรทัดฐานได้ คณาจารย์ในเครือข่าย “ที่ประชุมสภาคณาจารย์และข้าราชการแห่งประเทศไทย (ทปสท.)” ได้ยื่นหนังสือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เพื่อให้ประกาศเป็นบรรทัดฐานร่วมกัน สำหรับผู้ที่จะดำรงตำแหน่งอธิการบดี รองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี ที่ปรึกษาอธิการบดี คณบดี ผู้อำนวยการสำนัก ในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐทุกแห่ง จะต้องเป็นบุคคลที่มีอายุไม่เกิน 60 ปี
ทั้งพิจารณาว่า การบริหารงานบุคคลและงบประมาณของมหาวิทยาลัยรัฐ ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย 3 ฉบับ คือ พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 พ.ร.บ.ระเบียบบริหารข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547 และพ.ร.บ.จัดตั้งมหาวิทยาลัยที่จัดตั้งมหาวิทยาลัยดังกล่าว ฉะนั้นผู้ที่ดำรงตำแหน่งบริหาร ทั้งอธิการบดี รักษาการอธิการบดี และตำแหน่งอื่นๆ ต้องมีสถานะเป็นข้าราชการ คืออายุไม่เกิน 60 ปี แม้คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 37/2560 เปิดช่องให้ตั้ง “คนนอก” ที่ไม่ใช่ข้าราชการในมหาวิทยาลัย สามารถดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ แต่ไม่ได้มีข้อยกเว้นให้อายุเกิน 60 ปี
ฝ่ายที่เห็นด้วยบางราย ได้แสดงความเคารพต่อคำพิพากษาศาลศาลปกครองสูงสุด โดยแสดงให้เห็นว่า ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา โดยยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง ไม่รอให้มีการฟ้องร้องให้เป็นข่าว คือ นายปัญญา คามีศักดิ์ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง นายชูศักดิ์ เอกเพชร รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี และนายสุรศักดิ์ ศรีกระจ่าง ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่ต่างชื่นชมว่า มีความเป็นผู้บริหาร เหมาะสมกับตำแหน่งที่เคยดำรงมา มีจิตสำนึกที่ดี เป็นเยี่ยงอย่างที่ดีแก่นิสิตนักศึกษา สมเป็นครูบาอาจารย์ที่ได้รับความเคารพนับถือ
สำหรับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมีความเห็นว่า คำพิพากษาศาลปกครองเป็นเรื่องที่ผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีเท่านั้น บุคคลที่ไม่ได้ถูกฟ้องย่อมไม่มีความผูกพันตามคำพิพากษา ไม่จำต้องปฏิบัติตาม และมีความเห็นว่า อายุไม่ใช่ปัญหาในการบริหารงาน ทั้งได้เสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้มาตรา 44 แก้ไขคำสั่งคสช. ที่ 39/2559 เรื่อง “การจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา” เนื่องจากคำสั่งฉบับนี้ไม่ได้ระบุในเรื่องของอายุไว้อย่างชัดเจน การแก้ไขต้องระบุให้ชัดเจนว่า ผู้ที่อายุเกิน 60 ปี สามารถดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้หรือไม่ เพราะหากจะแก้ไขที่ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547 และพ.ร.บ.จัดตั้งมหาวิทยาลัยที่จัดตั้งมหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง จะไม่ทันต่อกระบวนการที่สถาบันอุดมศึกษาหลายแห่งอยู่ระหว่างการเสนอแต่งตั้งบุคคลที่มีอายุเกิน 60 ปี ให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี การแก้ปัญหาโดยใช้มาตรา 44 ถือว่าเป็นหนทางที่รวดเร็วที่สุด
มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า เหตุผลที่ทำให้อธิการบดีที่มีอายุเกิน 60 ปีบางราย ไม่ต้องการสละเก้าอี้ คงหนีไม่พ้นผลประโยชน์ เพราะหากสละเก้าอี้นั่นหมายถึงรายได้จำนวนมากต่อปีขาดหายไป มีการคำนวณเป็นตัวเลขว่า เงินเดือนอธิการบดีที่อายุเกิน 60 ปี อยู่ที่ 80,000-250,000 บาทต่อเดือน เงินบำนาญ 50,000 บาทต่อเดือน ยังไม่รวมเงินประจำตำแหน่ง 30,000 บาทต่อเดือน ค่าน้ำมันรถ 30,000 บาทต่อเดือน เงินโครงการพิเศษต่างๆ ที่บางครั้งได้ทุกเดือนหรือเป็นเทอม เงินจากโครงการอบรมต่างๆ รวมแล้วรายรับสูงสุดที่อธิการบดีได้รับอยู่ที่ 500,000 บาทต่อเดือน ทั้งเงินจำนวนนี้ ส่วนใหญ่อาจไม่มีการยื่นภาษี เพราะมองว่า เป็นเงินนอกงบประมาณแผ่นดิน
สำหรับรองอธิการบดีที่อายุเกิน 60 ปี เงินเดือนอยู่ที่ 55,000 บาท คณบดีอยู่ที่ 47,000 บาท และเงินบำนาญ 50,000 บาทต่อเดือน
อธิการบดีที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปี ได้รับเงินเดือนประมาณ 30,000-60,000 บาท นอกจากเงินเดือนจำนวนนี้ ยังมีค่าน้ำมันรถ 30,000 บาทต่อเดือน เงินเบี้ยประชุม เงินโครงการพิเศษต่างๆ
อย่างไรก็ตาม คำสั่งของศาลปกครองสูงสุด กรณีตัดสินอธิการบดีจะอายุเกิน 60 ปี ไม่ได้ ไม่กระทบต่อมหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) เพราะมหาวิทยาลัยสงฆ์สองแห่งนี้ เป็นสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐหรือที่เรียกว่า “มหาวิทยาลัยนอกระบบ” โดยมีการบริหารการจัดการอิสระแยกจากระบบราชการ แต่ยังได้รับเงินอุดหนุนทั่วไป ที่รัฐจัดสรรให้เป็นรายปีโดยตรง การสรรหาอธิการบดี มจร.และ มมร. เป็นไปตามข้อบังคับว่า ด้วยการสรรหาอธิการบดี พ.ศ. 2541 ซึ่งไม่ได้กำหนดอายุของผู้จะดำรงตำแหน่งอธิการบดีว่า จะต้องไม่เกิน 60 ปี ดังนั้น อธิการบดี มจร.และ มมร. จึงไม่อยู่ในบังคับ พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 มาตรา 19 วรรคแรก ที่กำหนดให้ข้าราชการที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ เป็นอันพ้นจากเวลาราชการ
บางฝ่ายมองว่า การที่ให้คสช.ใช้มาตรา 44 อาจดูพร่ำเพรื่อ คำสั่งศาลปกครองมีความชัดเจนแล้ว ไม่ควรต้องมาตีความซ้ำอีก
เรื่องนี้เป็นเรื่องจิตสำนึกว่า จะตีความกฎหมายแบบศรีธนญชัย เถรตรงตามตัวอักษรว่า คำพิพากษาผูกพันเฉพาะคู่ความ หรือจะตีความตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่พิจารณาจากภาพรวมทั้งหมดด้วย
จึงต้องติดตามต่อไปว่า จะมีท่านใดที่เคารพต่อคำพิพากษาศาลปกครอง และแสดงความรับผิดชอบโดยยื่นใบลาออกอีก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี