นายคออี้ มีมิ ซึ่งคนส่วนมากจะรู้จักกันในชื่อ “ปู่คออี้” ผู้นำทางจิตวิญญาณชนกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ หรือกะเหรี่ยงสะกอแห่งป่าแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ได้ถึงแก่กรรมลงด้วยโรคปอดติดเชื้อ ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา ข่าวนี้ทำให้ชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอ ต่างเสียใจมาก เพราะปู่คออี้เป็นที่นับถือ และเป็นผู้ต่อสู้เพื่อชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอ
กะเหรี่ยงที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ประเทศไทย แบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม (1) กะเหรี่ยงปกาเกอะญอ หรือสะกอ เป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด (2) กะเหรี่ยงโปร์ (3) กะเหรี่ยงบเว และ (4) กะเหรี่ยงปะโอ หรือตองสู
ปู่คออี้ เกิดเมื่อพ.ศ. 2454 บริเวณต้นน้ำลำภาชี รอยต่อของจังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดราชบุรี บิดาชื่อนายมีมิ และมารดาชื่อนางพีนอคี โดยปู่คออี้อาศัยในบ้านบางกลอยบน หรือใจแผ่นดินในป่าแก่งกระจาน ชายแดนไทย-เมียนมา อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 900 เมตร ปลูกบ้านด้วยไม้ไผ่ มุงหลังคาใบค้อ ทำไร่หมุนเวียน ปลูกข้าว พริก เผือก มัน ผัก มีสวนทุเรียนในป่า จับปลา ใช้ชีวิตแบบกลมกลืนกับป่า-ธรรมชาติ ติดต่อกับภายนอกน้อยมาก ในอดีตปู่คออี้เป็นคนนำทางพานักท่องไพรที่นิยมการเที่ยวป่า-ล่าสัตว์ ก่อนที่จะมีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มีผลบังคับใช้ในปีพ.ศ. 2524
ในปี พ.ศ.2539 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชได้อพยพชาวบ้าน บางกลอย ลงมาอยู่ในแปลงจัดสรร ที่บ้านโป่งลึก (เรียกว่า โป่งลึก-บางกลอยล่าง) จำนวน 57 ครอบครัว 391 คน แต่ชาวบ้านไม่สามารถอยู่ได้ เพราะไม่มีที่ทำกินเพียงพอ ทั้งที่ทำกินใหม่เป็นดินหินแข็ง ที่แทบจะเพาะปลูกอะไรไม่ได้เลย ชาวบ้านบางส่วน จึงต้องย้ายไปยังหมู่บ้านเก่า
เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2554 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ใช้ปฏิบัติการยุทธการตะนาวศรี หรือการปฏิบัติการตามโครงการขยายผลการอพยพ ผลักดัน หรือจับกุมชนกลุ่มน้อยที่บุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานตามแนวชายแดนไทย-สหภาพเมียนมา เข้าทำการย้ายชาวบ้านอีกรอบ ทั้งเผาทำลายเพิงพัก ทั้งยุ้งข้าว ยุ้งฉาง ชาวบ้านที่ย้ายลงมารวมถึงทั้ง ปู่คออี้ ไม่มีใครสามารถอยู่ได้ เพราะไม่มีที่ทำกิน
วิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงแบบดั้งเดิมเปลี่ยนแปลงไปทันที
เมื่อปีพ.ศ. 2555 ปู่คออี้พร้อมพวกรวม 6 คน ได้รวมตัวกันฟ้องกรมอุทยานฯ ต่อศาลปกครอง คดีหมายเลขดำที่ ส.58/2555
ต่อมาวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557 นายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำหลักของชาวบ้านบางกลอย ที่คอยแก้ปัญหาต่างๆ ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ บิลลี่มีศักดิ์เป็นหลานของ ปู่คออี้ ครอบครัวของบิลลี่ต่างสงสัยว่า เรื่องนี้อาจมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะก่อนหน้าที่บิลลี่ จะหายตัวไป เจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ได้ควบคุมตัวบิลลี่ไว้ เนื่องจากมีน้ำผึ้งป่าไว้ในครอบครอง แต่ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ได้ตักเตือนและปล่อยตัวไปแล้ว
ในวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 ศาลปกครองกลาง ได้พิพากษาให้เจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ชาวบ้านบางกลอยคนละ 10,000 บาท ภายใน 30 วัน สำหรับการรื้อถอนด้วยการเผาทำลายเพิงพัก ยุ้งข้าว ยุ้งฉาง ศาลตัดสินว่า เป็นการใช้อำนาจโดยชอบของพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504
ต่อมาเมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561 ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้กรมอุทยานฯ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 1, 2, 3 และ 6 เป็นเงิน 51,407 บาทต่อราย ผู้ฟ้องคดีที่ 4 เป็นเงิน 45,302 บาท และผู้ฟ้องคดีที่ 5 เป็นเงิน 50,807 บาท ทั้งนี้ หากผู้ฟ้องคดีรายใดได้รับค่าสินไหมทดแทนสำหรับสิ่งปลูกสร้าง และทรัพย์สินกรณีนี้ไปแล้ว ให้หักออกจากค่าสินไหมทดแทนตามคำพิพากษานี้ภายใน 30 วัน
ศาลปกครองสูงสุดยังชี้ว่า ผู้ฟ้องคดีไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่อาศัยในที่ดินพิพาท เนื่องจากที่ดินพิพาทอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และผู้ฟ้องคดีไม่มีหนังสือสำคัญแสดงสิทธิในที่ดินหรือหลักฐานแสดงการได้รับอนุญาตจากราชการ ให้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่อาจกำหนดคำบังคับให้ผู้ฟ้องคดีทั้งหกกลับคืนสู่สภาพเดิม โดยให้กลับไปอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่เดิมได้
ปู่คออี้เคยพูดตลอดเวลาว่า เป้าหมายในการฟ้องไม่ใช่เงิน แต่ต้องการกลับไปอยู่ในถิ่นอาศัยเดิมที่เกิดมา นั่นคือบ้านใจแผ่นดิน ทั้งอยากกลับไปตายที่นั่น ปู่คออี้ยังพูดว่า ที่ลงมาอยู่ไม่ใช่ที่ของแก เหมือนมาแย่งที่อยู่อาศัยของคนอื่น เลยไม่มีความสุข
ก่อนที่ปู่คออี้จะเสียชีวิต ปู่คออี้ได้ขึ้นชื่อว่า เป็นคนไทย เพราะเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2561 ปู่คออี้ได้ทำบัตรประชาชน ก่อนหน้านี้ปู่คออี้ได้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องสิทธิสถานะบุคคล ซึ่งนายทะเบียนอำเภอแก่งกระจาน ได้ตรวจสอบพยานเอกสารหลักฐาน และพยานบุคคล ซึ่งหลักฐานทะเบียนสำรวจบัญชีบุคคลในบ้านหรือ ทร.ชข. ปรากฏว่า ปู่คออี้เกิดเมื่อปีพ.ศ. 2454 บริเวณต้นน้ำลำภาชี บริเวณรอยต่อของจังหวัดเพชรบุรี และราชบุรี และทำไร่หมุนเวียนตามวิถีชีวิตดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบริเวณที่เรียกว่า บ้านใจแผ่นดิน และบ้านบางกลอยบน
แม้ปู่คออี้จะสิ้นลมไปแล้ว แต่กรณีของปู่คออี้ ถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการประสานความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขปัญหาสัญชาติ โดยเฉพาะกลุ่มผู้เฒ่าที่ไร้สัญชาติ เพราะในปัจจุบันยังมีกลุ่มผู้เฒ่าเหล่านี้ เป็นจำนวนมาก กลุ่มบุคคลเหล่านี้แม้จะอยู่ในประเทศไทยมาช้านาน แต่เป็นเรื่องยากที่จะขอรับรองการมีสัญชาติไทย จึงทำให้เข้าไม่ถึงระบบสวัสดิการที่รัฐจัดให้ เช่น เบี้ยเลี้ยงผู้สูงอายุ สิทธิในการเดินทางโดยเสรี ทำให้ดำรงชีวิตเป็นไปด้วยความลำบากแสนเข็ญ ทั้งยังและขาดโอกาสในหลายๆ ด้าน
เมื่อปีพ.ศ. 2560 ปู่คออี้ได้รับรางวัล “ผู้อุทิศตนเพื่อสิทธิมนุษยชน” จากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
นับว่าเป็นเรื่องดีที่ คณะกรรมการกฤษฎีกา กำลังดำเนินการปรับปรุงแก้ไขพ.ร.บ.ทะเบียนราษฎร (ฉบับที่..) พ.ศ... เพื่อแก้ไขบทบัญญัติข้อกฎหมาย เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาสถานะทางทะเบียนและสัญชาติที่เป็นปัญหายืดเยื้อมานานของประเทศไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี