บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวงวิเคราะห์หุ้นบริษัทโอสถสภา หรือ OSP เราเริ่มให้คำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2562ที่ 30 บาท เราชื่นชอบ OSP จากจุดแข็งของบริษัทที่มีความมั่นคงและยั่งยืน เนื่องจากผู้นำแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศไทยกอปรกับเป็นผู้ผลิตสินค้าแบบเต็มรูปแบบตั้งแต่ต้นน้ำเราคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรหลักมีความมั่นคงในปี 2561-62 และน่าตื่นเต้นในปี 2563 สำหรับมูลค่าหุ้นอยู่ในระดับไม่แพง
OSP จะรายงานการเติบโตกำไรหลักที่แข็งแกร่ง YoY ต่อเนื่องในไตรมาส 4/61-2/62 เนื่องจากฐานที่ต่ำในไตรมาส 4/60-2/61 (มีการปิดปรับปรุงโรงหลอมแก้วในไตรมาส 4/60 และเริ่มเปิดใช้งานอีกครั้งในปลายไตรมาส2/61) การกลับมาเติบโตของยอดขายธุรกิจรับผลิตสินค้า (OEM), อุปสงค์ในช่วงไฮซีซั่นในไตรมาสที่ 4 และ 1 และอานิสงส์จากต้นทุนที่ลดลงจากราคาเศษแก้วที่ปรับตัวลง(ลดลงจากจุดสูงสุด 3.7 บาทต่อกิโลกรัมในไตรมาส 4/60 มาอยู่ที่ 2.6 บาท ในไตรมาส 3/61 ลดลง21% YoY และ 16% QoQ)
อัตรากำไรหลักได้พิสูจน์แล้วว่ามีแนวโน้มขาขึ้นหลังจากปรับโครงสร้างบริษัทสำเร็จ, เติบโตแบบก้าวกระโดดจาก 6.6% ในปี 2558 เป็น 8.0% ในปี 2559 เป็น 11.0% ในปี 2560 และมาอยู่ที่ 11.8% ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2561 เราประมาณการว่ากำไรหลักจะเติบโต 11% สำหรับปี 2562
กลยุทธ์ที่จะรักษาความเป็นผู้นำ โดยบริษัทวางแผนครอบคลุม4 ประเด็น - “การเปิดตัวสินค้าใหม่”, “การพัฒนาสินค้าที่มีอยู่”, “ความพรีเมียม” และ“ทางเลือกเพื่อสุขภาพ” ซึ่งกลยุทธ์ข้างต้นทั้งหมดมีปัจจัยความสำเร็จหลักคือทีมผู้บริหารที่โดดเด่น และทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และพันธมิตรทางธุรกิจต่างประเทศที่แข็งแกร่งมาอย่างยาวนาน
OSP จะเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจในเมียนมา (รายได้จากการขายที่เมียนมาคิดเป็น 11% ของยอดขายรวมของ OSP) จากปัจจุบันคือการจัดจำหน่าย(ร่วมทุนและถือหุ้น 49% โดยมีพันธมิตรคือบริษัท Loi Heng Co Ltd ตั้งแต่ปี 2540) เป็นโมเดลการผลิตสินค้าเอง (ถือหุ้น 85% โดย OSP และ 15% โดยบริษัท Loi Heng) เพื่อสร้างโรงงานผลิตแห่งใหม่ในเมียนมาในไตรมาส 4/62 คาดว่าจะหนุนอัตรากำไรขั้นต้นและกำไรหลักปี 2563 เติบโตแบบน่าตื่นเต้นขึ้นได้ที่ 15% นอกจากนี้ยังมีโอกาสสร้างความประหลาดใจหากบริษัทเพิ่มยอดขายในเมียนมาผ่านการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและเพิ่มกิจกรรมทางการตลาดในเมียนมาในอนาคต
สถานะเงินสดสุทธิกอปรกับกระแสเงินสดส่วนเกิน (เราประมาณการ EBITDA ในระยะ 3 ปี อยู่ที่ 1.59 หมื่นล้านบาท ซึ่งรวมตั้งแต่ปี 2561-63 เทียบกับ 7.5 พันล้านบาทในงบลงทุนที่วางแผนไว้) จะสามารถจ่ายอัตราเงินปันผลที่สูงได้ เราประมาณการอัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 60% (ตามกฎขั้นต่ำ) สำหรับปี 2561-63 สมมุติฐานกรณีพื้นฐานของเราคาดว่าอัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ที่ 2.5% ในปี 2561 (0.63 บาทต่อหุ้น) และ 2.7% ในปี 2562 (0.68 บาท ต่อหุ้น) หากบริษัทให้อัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 100% จะให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลได้ถึง 4.2% ในปี 2561 และ 4.5% ในปี 2562
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี