ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและเอกชน (Public Private Partnership) หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “PPP” นั้น ถือเป็นกลไกอย่างหนึ่งที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสร้างจัดทำโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ (Infrastructure) ได้เป็นอย่างมาก และในยุคที่รัฐบาลต้องการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเกิดการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) นั้น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน หลักการ PPP จึงเป็นกลไกที่สำคัญเช่นเดียวกัน...
ถ้าถามว่า...ทำไมรัฐบาลต้องใช้วิธีการPPP แทนที่จะให้การรถไฟฯดำเนินการเองไปเลย...ก็ต้องบอกว่า เดิมทีนั้นรัฐต้องเป็นเจ้าภาพแต่ผู้เดียวในการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานให้กับประเทศ เพราะคนคิดว่ารัฐนั้น “แสนดี แสนเก่ง” ดังนั้นโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของประเทศอันเป็นเรื่องสำคัญไม่ว่าพลังงาน การสื่อสาร คมนาคม ฯลฯ จึงยกให้รัฐเป็นคนดูแล อีกทั้งในเมื่อรัฐนั้นยัง “แสนรวย” ด้วยเงินภาษี การลงทุนก้อนใหญ่ๆ ที่เอกชนอาจไม่ค่อยกล้าทำนั้นก็ให้รัฐทำไปเสียเลยด้วย อย่างไรก็ดี พอผ่านไปนานๆ เข้า คนก็รู้ไปเองว่าคิดผิด เพราะนอกจากรัฐจะไม่เก่งแล้วในอดีตยังมีบางกรณี..โกงอีกต่างหาก
ประเด็นแรกคือ กรณี PPP เอกชนจะช่วยแบกรับต้นทุนแทนรัฐบาล การไขก๊อกเปิดรับเอาเงินทุนทั้งจากในและนอกประเทศเข้ามาแบ่งเบาภาระรัฐและลดปริมาณเงินที่รัฐจำเป็นต้องกู้เพื่อเอามาจัดทำโครงสร้างพื้นฐาน แต่เรายังคงพบเห็น คนที่ต้านโครงการ ยังคงพูดวลีซ้ำๆ ว่า หากรัฐต้องช่วยออกค่าใช้จ่ายเยอะ รัฐทำเองเลยไม่ดีกว่าหรือ ?? คำพูดแบบนี้ เป็นการดึงกลับสู่วัฏจักร รัฐทำเอง แล้วก็จะเป็นอย่างที่เห็น เพราะจริงๆ แล้ว วิธีคิดของเอกชน เค้าคิดว่า ทำอย่างไรให้โครงการรอดแบบตลอดรอดฝั่ง ไม่ใช่รอดวันนี้ แล้วไปตายเอาวันหน้า ดังนั้น เค้าเลือกที่จะคุยกันให้รู้เรื่องทุกเงื่อนไข ก่อนเริ่มโครงการ จึงไม่แปลกใจที่การเจรจากับเอกชนจะยืดเยื้อ
ประเด็นที่สอง คือ รัฐบาลต้องกล้าได้กล้าเสียในโครงการ ไม่ใช่ยกความเสี่ยงทั้งหมดให้เอกชน มิเช่นนั้น นักลงทุนประเทศไหนจะกล้าเข้ามาร่วมลงทุน ที่ผ่านมาปัญหาของการลงทุนภาครัฐก็คือว่า รัฐไม่มีอะไรจะเสีย หนึ่งก็เพราะโครงการจะเจ๊งหรือไม่เจ๊งเป็นเรื่องของอนาคตอีกหลายปี ซึ่งอาจจะเปลี่ยนรัฐบาลไปแล้ว ทำให้ไม่มีใครอยากเอากระดูกมาแขวนคอ ไม่อยากหาเรื่อง ทำให้ประเทศไทย ไม่มีโครงการที่สร้างความเชื่อมั่นให้เอกชนได้ เอกชนต้องกินดีหมี หรือใจกล้าจริงๆถึงจะกล้าร่วมลงทุน กับโครงการที่ไม่มีการรับประกันอะไรเลย เพราะหากเปลี่ยนรัฐบาล อาจยกเลิกโครงการเลยก็ได้ ส่วนเอกชน ที่ลงทุนไปแล้วคนเดียว ไม่ได้เอาเงินลงทุนจากรัฐเลยแม้แต่บาทเดียว เช่น โครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน บอกว่า จะมีเงินจากรัฐมาในปีที่ 5 นั่นหมายถึง เงินไม่ได้มาจากรัฐบาลหน้าด้วยซ้ำ แต่คงอีก อย่างน้อย 2 รัฐบาล กว่าจะเริ่มมีเงินมาช่วยภาคเอกชน ดังนั้น คนให้กู้เงินทำโครงการ หรือเอกชนเอง ก็คงไม่มีใครเชื่อมั่น
ประเด็นที่สาม คือ วิธีคิดในการทำธุรกิจ เพราะการลงทุนต้องมีกำไร แต่ด้วยการเคยชินกับระบบสัมปทาน ทำให้ไม่ได้ดำเนินการแบบคู่ค้าจริงๆ ระหว่างรัฐบาล กับเอกชน แต่เป็นการตั้งเงื่อนไข เอาความเสี่ยงทั้งหมดไปให้ภาคเอกชน ซึ่งแน่นอนว่า หากในทางธุรกิจเป็นไปไม่ได้ ก็คงไม่มีใครกล้ามาลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศที่มีทางเลือกอื่นๆ อีกมากมาย และที่สำคัญต้องกู้เงินจากต่างประเทศ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ย ขึ้นอยู่กับโอกาสในความสำเร็จของโครงการ ยิ่งดอกเบี้ยต่ำไม่ใช่เอกชนเท่านั้นที่จะสำเร็จ แต่ภาครัฐก็จะมีโอกาสได้กำไรมากขึ้นด้วย เพราะเอกชนผู้ชนะประมูล ต้องแบ่งส่วนแบ่งรายได้ให้ภาครัฐอยู่แล้ว การที่รัฐจะเข้ามารับรองอัตราผลตอบแทนโครงการ (IRR) ที่ 6% นั้น ทางการเงินจะใช้เพื่อเป็นตัวชี้ว่า โครงการน่าลงทุนเพียงใด และธนาคารจะดูว่า จะปล่อยกู้ที่ความเสี่ยงเท่าไหร่ แต่หากไม่มีใครกล้าออกมาบอกว่า โครงการนี้จะสร้างผลตอบแทน อย่างน้อย 6% ก็ยากที่ใครจะกล้าเองเงินสองแสนล้านไปลง โดยไม่รู้ว่า จะได้เงินคืนหรือไม่
เรื่องสุดท้าย หากมองดูการประมูลรถไฟความเร็วสูงครั้งนี้ ถือเป็นบททดสอบที่สำคัญของการรถไฟฯว่า จะเป็นผู้จัดการประมูลได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ แต่ที่สังเกต ระหว่างการเจรจาธุรกิจ ระหว่างผู้เสนอราคาต่ำสุด กับการรถไฟฯนั้น ที่เห็นจะมีการปล่อยข้อมูลรายละเอียด การเจรจาออกมาทุกครั้งหลังการพูดคุย ทั้งที่คนที่ปล่อยข่าวเสี่ยงต่อความผิดทางอาญา และยังผิด TOR แต่กลับไม่มีใครกล่าวถึงประเด็นนี้ ซึ่งหากเป็นภาคธุรกิจจริงๆ ถือว่า การเอาข้อมูลในห้องเจรจามาเผยแพร่นั้น ผิดมารยาทการเจรจาธุรกิจ เพราะถือว่า ยังไม่จบการเจรจา และ ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประมูลรายอื่น ทราบข้อมูลที่ถือเป็นความลับทางธุรกิจอีกด้วย.....
นาทีนี้คงต้องลุ้นระทึกว่า การเจรจาธุรกิจภายใต้กติกา PPP ของโครงการรถไฮสปีดเทรน เชื่อม 3 สนามบิน...จะได้ข้อสรุปเมื่อไร...หรือว่าสุดจะไปถึงจุดที่ไทยต้องเสียโอกาสอีกครั้งด้วยเหตุเพราะความ “มือใหม่หัดขับ (เคลื่อน) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย” นั่นเอง...
กระบองเพรช
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี