เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2562 4 รัฐมนตรีสังกัดพลังประชารัฐ ประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง ต่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และได้ประกาศตัวทำงานการเมืองอย่างเต็มตัว การลาออกมีผลวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2562
ประชาชนอาจเกรงว่า การลาออกของรัฐมนตรีดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อการบริหารประเทศ เรื่องนี้ท่านนายกฯได้ชี้แจงว่า จะไม่มีผลกระทบ เพราะมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงรักษาราชการแทน โดยตำแหน่ง รมว.อุตสาหกรรม มี นายสมชาย หาญหิรัญ รมช.อุตสาหกรรม รักษาการแทน ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ มี น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รมช. รักษาการแทน ซึ่งหาก น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร ไม่อยู่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะต้องกำกับดูแลแทน สำหรับตำแหน่ง รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มี นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รักษาการแทน ส่วนกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มี นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รักษาราชการแทน
พรรคพลังประชารัฐ (อังกฤษ : Palang Pracharath Party, ชื่อย่อ : พปชร. ชื่อย่อภาษาอังกฤษ : PPRP) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2561 มีหัวหน้าพรรค คือ นายอุตตม สาวนายน
ในขณะที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ต่างมีผลงานพอสมควร เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อี-คอมเมิร์ซ ธนาคารชุมชน รัฐวิสาหกิจชุมชน
สำหรับเหตุผลของการลาออกของรัฐมนตรีทั้ง 4 ท่าน คือ จะได้ทำงานทางการเมืองอย่างเต็มที่ และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ไม่ต้องการเบียดบังเวลาราชการ รัฐมนตรีทั้ง 4 ท่าน ได้เคยพูดเป็นนัยๆ ว่า เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม จะไปทำงานการเมืองอย่างเต็มตัว
การลาออกของรัฐมนตรีทั้ง 4 ท่าน เป็นการแสดงถึงการเดินหน้าการหาเสียงของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ประชาชนจำนวนไม่น้อย ต่างคาดการณ์ว่า พรรค พปชร. คงจะทาบทามให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มาร่วมงานกับพรรค เพื่อเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี
การลาออกจากตำแหน่ง ถือเป็นการแสดงสปิริตอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการลาออกโดยสมัครใจ มีการกล่าวกันว่า ในอดีตที่ผ่านมา ไม่เคยมีรัฐมนตรี ที่ลาออกหลังจากมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปใช้บังคับ จะมีแต่รัฐมนตรีรักษาการที่ลาออก สำหรับพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งครั้งนี้ ได้ประกาศเมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2562 จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีการพูดกันว่า เป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ของการเมืองไทย
มีความจำเป็นที่ต้องมีการลาออกหรือ?
มีการกล่าวกันว่า การลาออกของรัฐมนตรี เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้บางคนอาจมองว่า การลาอออกถือเป็นเรื่องที่ต้องทำหรือไม่? ตามระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลสามารถบริหารประเทศต่อไปได้ ทั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มีนัยว่า รัฐมนตรีในรัฐบาล จะพ้นจากตำแหน่งโดยปริยาย ก่อนที่การเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ไม่ว่าการเลือกตั้งนั้น จะมีขึ้นเพราะนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา และประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือเมื่อครบอายุของสภาผู้แทนราษฎร คือ 4 ปี
เมื่อไม่มีกฎหมายบังคับให้ลาออก ทำให้บางคนมองว่า หากต้องการสร้างบรรทัดฐานใหม่จริงๆ การประกาศลาออก ควรมีขึ้นตั้งแต่วันที่เปิดตัวพรรค พปชร. นั่นคือ วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2561 จึงไม่แปลกใจที่จะมีการมองว่า การลาออกเกิดจากแรงกดดัน
ในต่างประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ทั้งประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ไม่ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งก่อนการเลือกตั้งเช่นกัน
เมื่อทั้งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ไม่มีความจำเป็นต้องลาออก สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ เพราะมีกฎหมายรองรับ ข้อความสำคัญอยู่ที่ ต้องไม่ใช้ประโยชน์จากการเป็นรัฐบาล เอื้ออำนวยต่อการหาเสียง เพื่อโจมตีพรรคการเมืองอื่น
พรรคการเมือง เป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการปกครองที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครอง โดยผ่านทางสภาผู้แทนราษฎร พรรคการเมืองประกอบด้วยกลุ่มบุคคล ที่มีอุดมการณ์ตรงกัน หรือคล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ที่ได้มารวมตัว เพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมือง และจะทำการคัดเลือกบุคคล เข้ามาสมัครลงเลือกตั้ง เพื่อเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง ในการบริหารประเทศ พรรคการเมือง จึงเป็นสถาบันการเมืองที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างรัฐบาลกับประชาชน
ระบอบประชาธิปไตย เป็นการปกครองอันมอบสิทธิเสรีภาพให้แก่ประชาชนมากที่สุด เพราะเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมือง โดยการคัดเลือกบุคคล เพื่อเข้ามาเป็นตัวแทนในการดำเนินงานบริหารประเทศ ดังนั้น พรรคการเมืองแต่ละพรรค ต้องชูนโยบายการบริหารประเทศที่ชัดเจน ที่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง ผู้เลือก คือ ประชาชนจะได้เลือกในสิ่งที่ตน
ช่วงใกล้เลือกตั้งบรรดาพรรคการเมืองต่างพยายามนำเสนอนโยบายของตน แทบไม่ต่างอะไรจากการทำการตลาดของภาคธุรกิจ บางนโยบายอาจดูดีจนเหมือนขายฝัน แต่ไม่สามารถทำได้จริง ประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง จึงต้องพิจารณาด้วยความสุขุมรอบคอบ บนพื้นฐานของความเป็นจริง
พรรคการเมืองที่ดี ควรแข่งขันกันด้านนโยบายที่สำคัญ ตรงกับความต้องการของประชาชาชน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี