nn รู้สึกชอบใจพาดหัวข่าวประเด็นที่ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ไปตรวจเยี่ยมกระทรวงอุตสาหกรรม...“เลิกคิดแบบไดโนเสาร์ ต้องช่วยภาคเอกชน”....!! หมุนตามทุน...ก็เลยนั่งลุ้นอยู่ว่าเมื่อใดหนอที่ท่านสมคิดจะถึงคิวไปตรวจเยี่ยมกระทรวงพาณิชย์บ้าง....เพราะตอนนี้ภาคเอกชนในอุตสาหกรรมเหล็กกำลังเดือดดาลก่นด่า...เพราะอุตสาหกรรมเหล็กของไทยที่ลงทุนกันไปกว่า 5 แสนล้านบาท กำลังจะย่อยยับ...เพราะรมช.พาณิชย์และรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณามาตรการปกป้อง (คปป.)...ยังคงดึงดันที่จะไม่ต่ออายุการบังคับใช้มาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard (SG) สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออื่นๆ...
ที่คนในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กทั้งผู้ประกอบการทั้งแรงงานรวมแล้วกว่า 2 แสนคน เขากังวลก็เพราะว่า...ตอนนี้หลังสหรัฐ สหภาพยุโรป ประเทศตุรกี สหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย (เบลารุส คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน อาร์มีเนีย และรัสเซีย) ประเทศแคนาดา ประเทศเม็กซิโก...ประกาศใช้มาตรการปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศของตนเอง...ทำให้เหล็กรีดร้อนที่ล้นตลาดโลกอยู่ตอนนี้ก็จะทะลักเข้าสู่ประเทศที่ไม่มีมาตรการปกป้อง...โดยเฉพาะประเทศไทยนั่นเอง...ก็ซึ่งเป็นผลมาจากวิธีคิดแบบสวนทิศผิดทางกับที่ทั่วโลกเขาทำกัน...แล้วก็ล่าสุดสดๆ ร้อนๆ คือ ประเทศเวียดนาม...ที่ประกาศใช้ Safeguard เหล็กไทย...!! อันนี้ก็ไม่รู้ว่ากระทรวงพาณิชย์รู้สึกรู้สาอะไรขึ้นบ้างหรือยัง...???
ส่วนเหตุผลที่ทาง ประธาน คปป.อ้างว่า...จะมีการขอชดเชยและไทยมีโอกาสที่จะถูกตอบโต้ทางการค้าจากประเทศอื่นอีก ได้แก่ ตุรกี อียิปต์ และจีน...!!หมุนตามทุน..ไม่รู้ว่าทางท่าน รมช.พาณิชย์จะทราบไหมว่า...ทางบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ของเกาหลี แจ้งมาว่ารัฐบาลเกาหลีไม่มีนโยบายที่จะขอชดเชย หรือตอบโต้ไทย…และ ประเทศจีน อียิปต์ และตุรกีไม่มีการส่งสัญญาณในการตอบโต้ไทย เพราะในการประชุมรับฟังความเห็นทั้ง 3 ประเทศไม่ส่งผู้แทนเข้าร่วมให้ความเห็น และแสดงถึงการคัดค้านมาตรการแต่อย่างใด...หมุนตามทุนก็เลยงงหนักเข้าไปอีกว่า...แล้วทางท่าน รมช.พาณิชย์...จะไปร้อนตัวแทนพวกเขาทำไม....???? และ ประเทศอียิปต์ และ ตุรกี อาจจะไม่มีสิทธิ์ในการขอชดเชย เนื่องจากปริมาณที่เคยส่งมายังไทยนั้นมีปริมาณน้อยกว่าขั้นต่ำของการเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการ ซึ่งไทยฟ้องตุรกีใน WTO แล้วเช่นกัน กรณีที่ตุรกีขึ้นภาษีนำเข้าเครื่องปรับอากาศจากไทย...และตามกระบวนการจะมีการขอ Consult ก่อนอยู่แล้ว ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการขอ Consult แต่อย่างใด จึงไม่ถือเป็นการขอชดเชยอย่างเป็นทางการ และกรณีมีการขอชดเชย อุตสาหกรรมภายในยินดีสนับสนุน และให้การชดเชยอยู่แล้วหากเป็นไปตามข้อกฎหมายของไทย และ WTO….
ส่วนที่อ้างว่าจะมีผลกระทบจากการใช้มาตรการต่อภาคอุตสาหกรรมอื่น...ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ ต่อเรือ...หมุนตามทุน...ว่าทางท่าน รมช.พาณิชย์ ก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่า...เหล็กที่ใช้อุตสาหกรรมยานยนต์เขาได้รับการยกเว้น Safeguard อยู่แล้วไม่ใช่หรือ...เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมต่อเรือ..เดี๋ยวนี้ก็ใช้อะลูมิเนียมเป็นส่วนใหญ่... ส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า หรืออุตสาหกรรมที่ใช้เหล็กเกรดพิเศษ...ก็ได้รับการยกเว้น Safeguard....อยู่แล้ว....!! ข้อมูลท่านผิดหรือเปล่าครับ...ส่วนพวกเครื่องมือทางการเกษตร...ซึ่งก็ใช้เหล็กในประเทศ เดือน 2 พันกว่าตัน ซึ่งถือว่าน้อยมาก...และ 7 สมาคมฯเคยให้ผู้ผลิตเครื่องจักรอุปกรณ์การเกษตรนำเข้าโดยไม่ต้องเกี่ยวกับภาษีแต่ก็ปรากฏว่าไม่มีการนำเข้าเลย...ส่วนเหล็กท่อ ซึ่งใช้เหล็กรีดร้อนมากที่สุดปีละ 1.2 ล้านตัน..ก็ทำจดหมายสนับสนุนการขยายเวลา Safeguard…เพราะไม่เช่นนั้นพวกเขาจะเสียหายไปด้วย....แล้วท่านไปคิดแทนเขาได้ไงว่าพวกเขาจะเดือดร้อน...หากมี Safeguard ...ส่วนที่บอกว่ามี SME จำนวนมาก ซึ่งมีการจ้างงานหลายแสนคนที่จำเป็นต้อง ใช้สินค้าเหล็กเจืออื่น ๆ เป็นวัตถุดิบในการผลิต....ไหนบอกสิว่าธุรกิจ SME ที่ว่ามีอะไรบ้าง...ถ้ามากมายจนมีการจ้างงานเป็นแสนคน...ก็ต้องเป็นข้อมูลบอกได้อย่างชัดเจนระบุรายละเอียดได้ว่ามีธุรกิจอะไรบ้าง...
ส่วนที่อ้างว่ามีมาตรการอื่นๆ ปกป้องอยู่โดยยกตัวอย่าง มาตรการ AD...เท็จจริงคือ การบังคับใช้มาตรการ AD ทั้งหมดเป็นสินค้าคนละประเภทกับสินค้าที่ใช้มาตรการปกป้องทั้งสิ้น มีเพียงกรณีเดียวที่มีสินค้าที่เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการ Safeguard คือ AD เหล็กแผ่นรีดร้อนเจือโบรอน แต่ภายหลังจีนหลบเลี่ยงไปเติมธาตุอื่นแล้วจึงไม่เข้าข่ายมาตรการ AD นี้ ดังนั้นหากไม่มีมาตรการ Safeguard จะเป็นช่องว่างให้มีการนำเข้าอย่างมากมายโดยเฉพาะประเทศจีนโดยเฉพาะในช่วงที่มีสงครามทางการค้าที่ประเทศต่างๆ หาแหล่งระบายสินค้า...
แล้วก็ Safeguard...คือแค่ป้องกันประเทศจีนหรือประเทศที่มีเหล็กล้นตลาด ก่อนหน้านี้ประเทศจีนก็เลี่ยงโดยการเจอโบรอน 000.8% เพื่อเลี่ยงภาษี...เพราะเหล็กที่ใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์จริงนั้นเจือโบรอนที่ 0.8-1.0%...ซึ่งก็แพงมาก มีคนใช้จริงเดือนละไม่กี่ร้อยตันหรือปีละหมื่นกว่าตัน...แต่พอวิธีเลี่ยงโดยเจอโบรอนเข้าไปแค่ 000.8%...ซึ่งตอนนั้น Safeguard ยอดนำเข้าพุ่งไปเป็นล้านตันต่อปี...รัฐบาลเองก็ยังคิดช้าทำให้ผู้ประกอบการต้องปิดโรงงานกันไปเป็นปี คนตกงานจำนวนมาก...ประเทศอื่นเขารู้ทันเขาออกมาตรการมาปิดกันหมด และทำอย่างรวดเร็วด้วย ใช้เวลา 2-3 เดือน ก็ประกาศเลย...มีแต่ไทยนี่แหละคิดได้ช้าทำได้ช้า....
สรุปคือ การบังคับใช้มาตรการ AD ที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถทดแทนมาตรการ Safeguard ได้…!! ท่านผู้อ่านว่าจริงอย่างที่ “หมุนตามทุน” ว่าไหมครับ.....
อ้อ เกือบลืม...เรื่องนี้เพิ่งจะมีการทำ Hearing ไปเมื่อวันที่ 29 มกราคม นี่เอง...ซึ่งทางกรมการค้าต่างประเทศ จะต้องสรุปผลการ Hearing เสนอต่อคณะอนุกรรมการพิจารณามาตรการปกป้อง และ นำเสนอต่อคณะกรรมการ Safeguard ...เพื่อพิจารณาและมีการวินิจฉัยในชั้นที่สุด ตามมาตรา 26 ของ พ.ร.บ.ปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น พ.ศ. 2550….แต่ถึงตอนนี้ยังไม่มีการประชุมคณะกรรมการ Safeguard...อีกครั้งหนึ่งเลย...แต่ท่าน รมช.พาณิชย์ ในฐานะประธาน คปป. กลับชิงออกมาแถลงข่าวก่อนเลยว่า...ยืนยันไม่ขยายเวลา Safeguard….!! อย่างนี้แล้ว...นอกจาก “หมุนตามทุน” แล้วคนอื่นๆ เขาก็คิดได้ว่า..สรุปว่าท่านไม่ต้องฟังผลสรุปของการทำ Hearing เลยหรืออย่างไร...และมันเป็นการชี้นำ กรรมการท่านอื่นในคณะกรรมการ Safeguard...หรือเปล่าครับแบบนี้....!! และคำถามสำคัญคือ...ทำไม????
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี