ll เคยตั้งคำถามถึงสาเหตุหรือไม่ว่า โครงการที่สำคัญอย่างไฮสปีดเทรน ทั้งรถไฟไทยจีนอีสาน สนามบินอู่ตะเภาโครงการขนาดใหญ่แบบนี้ทำไมถึงไม่เกิด เพราะสาเหตุอะไร ทั้งๆ ที่ มันควรจะมีมาตั้งนานแล้ว...จะว่าไปแล้วก็เป็นสิ่งที่ท้าทาย สำหรับรัฐบาลไทย ที่จะผลักดันโปรเจกท์ใหญ่ยักษ์ให้สำเร็จลุล่วงได้หรือไม่... อดีตสอนอะไรเราบ้าง กับอายุรัฐบาลที่สั้น และไม่สอดคล้องกับนโยบายระยะยาว การเปลี่ยนขั้วการเมืองตลอดเวลา ทำให้โครงการใหญ่ๆ แบบนี้ถูกรื้อแล้วรื้ออีก จนต่างชาติมองเป็นแค่วาทกรรมหาเสียง แต่วันนี้ต้องถือว่า โครงการไฮสปีดใกล้ความจริงที่สุดตั้งแต่เคยมีมา...
ลองยกตัวอย่างเช่น ไฮสปีดเทรน ที่ก่อนหน้านี้เริ่มต้นวาดฝันกันมาตั้งแต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่ก็จบไปด้วยการยุบสภาปีปลายปี’54 ต่อด้วยการชุบชีวิตรถไฟความเร็วสูงสมัยยิ่งลักษณ์ด้วยการเสนอโมเดลรัฐทำเอง กับร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เมื่อครั้งที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยเสนอผ่านรัฐสภาจนให้ความเห็นชอบแล้ว แต่สุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติชี้ขาดว่า ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ.... มาจนถึงยุคนายกฯตู่กับรูปแบบการร่วมทุนกับเอกชน หรือที่เรียกว่า Public Private Partnership (PPP) ซึ่งมาเจรจาสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งเพียงเดือนเดียว...โดยเฉพาะในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน...เริ่มต้นด้วยความพยายามจะเร่งดำเนินการโครงการ ตั้งแต่ปลายปีก่อน จนถึงวันนี้ก็เดินมาเป็นลำดับ...จนกระทั่งถึงตอนนี้ที่ดูเหมือนนิ่งอยู่กับที่...หลายคนอาจมองว่ายิ่งใกล้เลือกตั้ง ดูเหมือนว่า จะเข้าสู่ภาวะเกียร์ว่าง ใครบ้างจะกล้ารับผิดชอบ กรรมการไม่กล้ารับพิจารณาประโยชน์รัฐ ปัดข้อเสนอของกลุ่มซีพี.....!!
แต่หากพิจารณาดีๆ ท่าทีของกรรมการคัดเลือกโครงการกลับไม่เป็นเช่นกัน....เพราะทำท่าเหมือนว่าจะกล้าเห็นชอบที่จะเลือกแผนสอง ด้วยการเตรียมตั้งโต๊ะคุยกับ....กลุ่มบีทีเอส...ทั้งที่จะต้องประเคนภาษีเพิ่มอีกแสนล้าน....กรรมการนั้นรอดตัวในข้อหาทำให้โครงการสะดุด....แล้วก็โยนเผือกร้อนข้อเสนอให้ผู้ใหญ่ตัดสิน!! หากกล้าตัดสินใจกลับลำรักษาประโยชน์รัฐ อย่างไรพวกตนก็ไม่ผิด...
ที่ “หมุนตามทุน” กล้าที่จะเขียนเช่นนั้นก็เพราะมีหลักฐานปรากฏชัดอยู่... โดย นายวรวุฒิ มาลา รักษาการผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 22 ก.พ. ที่ประชุมคณะกรรมการคัดเลือกโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา ระยะทาง 220 กม. มูลค่า 224,544 ล้าน เปิดเผยว่าคณะกรรมการคัดเลือกยืนยันข้อเสนอที่ไม่อยู่ในเงื่อนไขทีโออาร์ มติคณะรัฐมนตรีและอำนาจคณะกรรมการ จะไม่นำมาพิจารณา ซึ่งจะส่งหนังสือเชิญกลุ่ม ซีพีมาเจรจาให้ได้คำตอบภายใน 5 มี.ค. หากวันนั้นกลุ่ม ซีพีไม่มาจะโทรศัพท์ไปยืนยันว่าจะยุติการเจรจา เพื่อจะเชิญกลุ่มบีทีเอสมาเจรจาต่อไป เพื่อให้เซ็นสัญญาภายในเดือนมี.ค.นี้ จะเริ่มก่อสร้างได้ใน 6 เดือนนี้”
ขณะที่นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือบีทีเอส เปิดเผยว่า กลุ่มกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (BSR) พร้อมเข้าเจรจาต่อรองในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน หลังจากคณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) ขีดเส้นให้การเจรจากับกลุ่มบริษัท เจริญโภคภัณฑ์(ซีพี) จบภายในวันที่ 18 ก.พ.นี้ และหากไม่ได้ข้อสรุปจะเรียกกลุ่มบีเอสอาร์มาเจรจาต่อไป...
วาทกรรมที่ว่า กกต.มีมติให้จัดการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคมแล้ว รัฐบาลชุดของนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาก็ควรจะต้องระงับการตัดสินใจใดๆ ที่มีผลต่อโครงการใหญ่ๆหรือกิจกรรมใดที่ควรจะเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลที่จะมาจากการเลือกตั้ง แต่ในความเป็นจริงกับค่าเสียโอกาสของประเทศหรือไม่?
คงต้องวัดใจนายกฯ เพราะการตัดสินใจทำงานชิ้นสำคัญให้เสร็จก่อนการเลือกตั้ง เป็นการสร้างความมั่นใจให้ทุกประเทศที่จับตามอง โครงการใหญ่แบบนี้ เมื่อเข้าสู่การเมืองแบบไทยๆ ที่ค้านกันไป ค้านกันมา มีหวังคนที่ต้องเอาเงินมาลงทุน ก็คงเผ่นกลับบ้านหมด เพราะความโลเลไม่แน่นอนของการเมืองไทย แล้วอย่างนี้ เมื่อไหร่จะจึงจะทำให้เมืองไทย เป็นเมืองที่น่าลงทุนในภูมิภาค...
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี