เมื่อเงินเดือนเข้าบัญชีลูกจ้างแล้ว ลูกจ้างจะเชื่อโดยสุจริตว่าตนมีสิทธิในเงินนั้น เพราะนายจ้างเป็นคนจ่าย ทั้งเป็นค่าตอบแทนจากการทำงาน
ต่อมากลับกลายเป็นว่า นายจ้างได้เรียกคืน เนื่องจากจ่ายเงินเดือนผิดพลาด ทั้งที่ลูกจ้างแต่ละคนมีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินแตกต่างกันไป คนที่ใช้เงินหมดแล้ว เมื่อต้องมาจ่ายคืนกลายเป็นการสร้างภาระหนี้สินให้แก่ลูกจ้าง
เรื่องแบบนี้ไม่ควรที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหน่วยงานราชการ ยิ่งไปกว่านั้น ความผิดพลาดไม่ได้เกิดเป็นหลักเดือน แต่กลับกลายเป็นเวลาหลายปี
คงเป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อเกิดความผิดพลาดแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาชี้แจงว่า ได้ทำอย่างดีที่สุดแล้วและจะเร่งหาสาเหตุของความผิดพลาด
เมื่อต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 กระทรวงสาธารณสุข เรียกเงินเดือนเกินสิทธิคืน ในกลุ่มพนักงานราชการและลูกจ้างชั่วคราวที่ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการก่อนวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เฉลี่ยคนละประมาณ 20,000-25,000 บาท
ส่วนมากเกิดจากการเทียบวุฒิและการคำนวณเงินเลื่อนขั้นเงินเดือนผิด ทำให้เงินเดือนเกินสิทธิเป็นเวลา 5 ปี บุคลากรที่ถูกเรียกเงินเดือนเกินสิทธิคืนมีจำนวน 302 ราย ซึ่งเป็นร้อยละ 5
ของบุคลากรที่ได้รับการปรับเงินเดือนทั้งหมด ที่มีประมาณ 8,000 กว่าราย ประกอบไปด้วยพยาบาล พนักงานเภสัชกรรม เวชสถิติ ทันตกรรม รังสี เทคนิคการแพทย์ และอื่นๆ ในพื้นที่
9 จังหวัด คือ ศรีสะเกษ 91 ราย สมุทรปราการ 29 ราย เพชรบูรณ์ 28 ราย กาฬสินธุ์ 5 ราย ตราด 17 ราย ชัยภูมิ 90 ราย กระบี่ 40 ราย ฉะเชิงเทรา 1 ราย และปราจีนบุรี 1 ราย
เงินเดือนพื้นฐาน (Base Salary) คือ ค่าตอบแทนที่จ่ายให้กับข้าราชการพลเรือนสามัญทุกคนตามประเภทตำแหน่งและระดับตำแหน่ง เพื่อสะท้อนถึงขนาดของงาน (Job Size) ผลงาน (Performance) และสมรรถนะ(Competency) โดยปัจจุบันได้แบ่งบัญชีเงินเดือนออกเป็น 4 บัญชีตามประเภทตำแหน่ง คือ (1) ประเภทบริหาร (2) ประเภทอำนวยการ (3) ประเภทวิชาการ และ(4) ประเภททั่วไป ซึ่งแต่ละประเภทได้มีการกำหนดเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของแต่ละระดับไว้
การปรับเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนสามัญจะออกเป็นพระราชกฤษฎีกา เหตุผลสำคัญของการปรับเพราะบัญชีอัตราเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนสามัญในขณะนั้น ไม่เหมาะสม
กับภาวะทางเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นในเวลานั้น
แม้กระทรวงสาธารณสุข จะชี้แจงว่า ความผิดพลาดมีแค่ร้อยละ 5 เท่านั้น ตัวเลขอาจดูน้อยสำหรับกระทรวงสาธารณสุข แต่สำหรับบุคลากรที่ได้รับผลกระทบ ต่างสงสัยว่า ทำไมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ปล่อยให้ระบบผิดพลาดมานานถึง 5 ปี จำนวนเงินที่ถูกเรียกคืนสูงที่สุด คือ 90,000 กว่าบาท และจำนวนเงินต่ำที่สุด คือ 1,000 กว่าบาท จำนวนเงินรวมกันทั้งหมดประมาณ 6 ล้านกว่าบาท
ตอนที่มีการปรับเงินเดือนถือเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะเงินเดือนที่ได้ปรับ จะได้นำมาจัดสรรให้เหมาะสมกับภาวะทางเศรษฐกิจ แต่เมื่อเทียบกับเงินเดือนของบุคลากรบางคน ที่ต้องคืนเงินและรับผิดชอบต่อสมาชิกในครอบครัว ที่อาจมีหลายชีวิต ทั้งลูกเล็ก พ่อ แม่ และภาระหนี้สิน เช่น การผ่อนบ้าน ฯลฯ เงินที่ได้รับ แล้วต้องใช้คืนกลับกลายเป็นการสร้างภาระ
การเรียกคืนควรคำนึงถึงว่า จะเรียกคืนอย่างไร ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อค่าใช้จ่าย และชีวิตประจำวัน นับว่ายังเป็นเรื่องดีที่กระทรวงสาธารณสุข จะให้บุคลากรกลุ่มนี้ผ่อนระยะยาว5-10 ปี โดยไม่มีดอกเบี้ย
หากย้อนไปเมื่อช่วงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2557 กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ออกคำสั่งเรียกคืนเงินเดือนจากลูกจ้างประจำกทม. กว่า 500 คน เนื่องจากกระทรวงการคลังได้ตรวจสอบพบว่า กทม.ได้คำนวณเงินเดือนผิดโดยจ่ายเงินเดือนเกินไปจากการคำนวณที่แท้จริงให้แก่ลูกจ้างกทม. ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553 หรือกว่า 3 ปี ส่งผลให้ลูกจ้างแต่ละคนต้องคืนเงินให้กทม.เป็นเงินหลักหมื่นจนถึงหลักแสน รวมเป็นเงินที่คำนวณผิดพลาดจ่ายเกินทั้งหมดรวม 30 ล้านกว่าบาท ลูกจ้างกทม.ได้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง ส่วนกทม.ได้เรียกลูกจ้างไปประชุมชี้แจง ทำหนังสือแจ้งให้คืนเงินและยื่นฟ้องลูกจ้าง ที่ไม่ยอมจ่ายคืนเงินเป็นรายบุคคลจนเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2561 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ อ.709/2561 ว่าเงินเดือนที่ กทม.ให้เกินมาทั้งหมด ศาลพิเคราะห์เห็นว่า ลูกจ้างไม่ต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวเนื่องจากลูกจ้างไม่ได้มีส่วนในการคำนวณเงินเดือนที่ผิดพลาด และได้รับมาเงินดังกล่าวมาโดยสุจริต
คำพิพากษาศาลปกครองในเรื่องนี้ ไม่ได้ระบุว่า ใครเป็นผู้รับผิดชอบในการคำนวณเงินเดือนที่ผิดพลาด ทำให้พิจารณาได้ว่า หากมีกรณีการจ่ายเงินแผ่นดินผิดพลาด ถือได้ว่าความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะเป็นเงินของแผ่นดิน ควรมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถึงที่สุด เพื่อป้องกันมิให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก
กรณีที่เกิดขึ้นกับบุคลากรทางสาธารณสุขนี้ คนในกระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แจงว่า จะตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง กรณีจ่ายเงินเดือนเกินสิทธิ การตรวจสอบจะทำเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด แต่จะไม่ได้สอบเพื่อเอาผิด
บางครั้งการเชือดไก่ให้ลิงดู น่าจะเป็นวิธีป้องกันความเสียหายได้ทางหนึ่ง
เรื่องนี้ควรถือเป็นทั้งบทเรียนและแนวทางการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ที่ต้องมีตรวจสอบ ระมัดระวังในการบริหารจัดการเชิงระบบ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี