กลายเป็นประเด็นร้อน เมื่อนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ได้บรรยายที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) ว่า ได้ให้พรรคอนาคตใหม่กู้เงินเพื่อดำเนินกิจการของพรรคเป็นเงินจำนวน 110 ล้านบาท
ในประเด็นเรื่องพรรคกู้เงิน นายธนาธรนี้ นางสาวพรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ได้เคยให้สัมภาษณ์ว่า พรรคอนาคตใหม่ ได้กู้ยืมเงินจากนายธนาธรเป็นจำนวน 250 ล้านบาท โดยมีสัญญาและเสียดอกเบี้ยอย่างชัดเจน
จึงมีคำถามว่า จำนวนเงินกู้ที่แท้จริงเป็นจำนวนเท่าไหร่แน่ ต่อมาโฆษกพรรคอนาคตใหม่ได้ชี้แจงว่า เดิมมีการกู้ยืมเงิน จำนวน 90 ล้านบาท และกู้เงินเพิ่มอีก 20 ล้านบาท รวมเป็นเงินจำนวน 110 ล้านบาท ส่วนที่กล่าวถึงเงินจำนวน 250 ล้านบาท เป็นวงเงินสูงสุดที่นายธนาธรจะให้พรรคกู้ยืมเงิน
การที่พรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินนายธนาธร จึงเกิดคำถามในสังคมว่า พรรคการเมืองจะสามารถกู้ยืมเงินจากบุคคลใด เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินงานของพรรคได้หรือไม่
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 62 บัญญัติไว้ว่า
พรรคการเมืองอาจมีรายได้ ดังต่อไปนี้ (1) เงินทุนประเดิมตามมาตรา 9 วรรคสอง (2) เงินค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงพรรคการเมือง ตามที่กำหนดในข้อบังคับ (3) เงินที่ได้จากการจำหน่ายสินค้าหรือบริการของพรรคการเมือง (4) เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมือง (5) เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการรับบริจาค (6) เงินอุดหนุนจากกองทุน (7) ดอกผลและรายได้ที่เกิดจากเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดของพรรคการเมือง
ตามกฎหมายนี้ ไม่ปรากฏว่า รายได้ของพรรคการเมืองจะมาจากการกู้ยืมเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
เมื่อเป็นคดีความ การตีความกฎหมายจากลายลักษณ์อักษรจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ในหลายๆ กรณี ศาลวินิจฉัยว่า การกระทำที่เป็นข้อพิพาท สามารถกระทำได้เพราะกฎหมายอนุญาตให้ทำได้
ในขณะที่อีกหลายๆ กรณี ศาลวินิจฉัยว่า การกระทำที่เป็นข้อพิพาท สามารถกระทำได้ เพราะกฎหมายไม่ได้ห้ามไว้
จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่า หลักในการพิจารณาเป็นอย่างไร กรณีดังกล่าวจะสังเกตได้ว่า หากกฎหมายกำหนดแจกแจงรายละเอียดไว้ว่า กรณีใดที่กฎหมายอนุญาตให้ทำได้ หากมีการกระทำที่นอกเหนือจากที่กฎหมายระบุไว้ จะถือว่าเป็นการกระทำ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่สามารถกระทำได้นั่นเอง
ล่าสุดในประเด็นเรื่องพรรคการเมืองกู้ยืมเงิน นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้แสดงความเห็นว่า ไม่สามารถกระทำได้ เพราะกฎหมายไม่อนุญาตไว้
นอกจากนี้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวมาตรา 66 ยังได้ระบุไว้ว่า บุคคลใดจะบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ให้แก่พรรคการเมืองมีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาทต่อพรรคการเมืองต่อปี มิได้ และในกรณีที่บุคคลนั้นเป็นนิติบุคคล การบริจาคเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้แก่พรรคการเมืองไม่ว่าพรรคเดียวหรือหลายพรรคเกินปีละ 5 ล้านบาท ต้องแจ้งให้ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นทราบในการประชุมใหญ่คราวต่อไป หลังจากบริจาคแล้ว พรรคการเมืองจะรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดซึ่งมีมูลค่าเกินวรรคหนึ่งมิได้
เจตนารมณ์ดังกล่าวของกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่บริจาคหรือให้เงินแก่พรรคการเมืองหนึ่งพรรคใด มีอำนาจเหนือหรือมีอิทธิพลต่อพรรคการเมืองนั้น ในการดำเนินงานหรือทำกิจกรรมทางการเมืองใดๆ
จึงได้มีคำถามต่อมาว่า นายธนาธรให้พรรคอนาคตใหม่ กู้เงิน ไม่ว่าจะเป็นเงินส่วนตัว หรือเงินบริษัทซึ่งเป็นนิติบุคคล เป็นจำนวนถึง 110 ล้านบาทนั้น เป็นการให้กู้ยืมเงินจริงๆ หรือไม่ หรือเป็นการบริจาคเงินหรือให้เงินแก่พรรค แบบให้เปล่า แต่ทำเป็นสัญญากู้ยืมเงิน ซึ่งถือว่าเป็นนิติกรรมอำพรางกันแน่
หากเป็นการให้กู้ยืมเงินกันจริง ย่อมมีคำถามตามมาอีกว่า พรรคอนาคตใหม่ รวมทั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคนี้ ใช้จ่ายเงินในการเลือกตั้งอย่างไร เป็นค่าอะไร ทำไมถึงเป็นจำนวนมากขนาดนี้ และเป็นจำนวนเงินมากเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
ทั้งที่ตามกฎหมาย พรรคการเมืองต้องใช้จ่ายในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่เกิน 35 ล้านบาทเท่านั้น และผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาแทนราษฎรต้องใช้เงินหาเสียงไม่เกิน 1.5 ล้านบาท
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไปอย่างไม่กะพริบตา ว่า จะเป็นการไร้เดียงสาทางการเมือง หรือนิติกรรมอำพราง กันแน่ และผลจะเป็นอย่างไรในอนาคต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี