nn วันก่อนเห็น...“หมุนตามทุน” ปลื้มปริ่มน้ำตาแทบทะลัก...เมื่อเห็นข่าวที่ระบุว่า...ท่านผู้บริหารระดับสูงของ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)... ออกมาแสดงความเป็นห่วงว่าเหล็กจากจีนจะทะลักเข้ามาทุ่มตลาดเหล็กในประเทศไทย..เนื่องจากผลของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน...ทำให้เหล็กของจีนที่ผลิตในจีนและประเทศอื่นๆ ในอาเซียน เช่น เวียดนาม มาเลเซีย...ไม่สามารถส่งออกไปขายในตลาดสหรัฐได้...จึงทะลักเข้าตลาดของไทย...
แต่ก็เอาเถอะถึงแม้ว่า สมอ.จะเพิ่งสำนึกได้ว่าผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็กของไทยกำลังผจญปัญหาหนักหน่วง...ก็ยังดีกว่าไม่รู้จักสำนึกได้เลย...!! ปมของ สมอ.ค้างไว้ตรงนี้ก่อน...วันนี้ “หมุนตามทุน” ขอหยิบเอาปัญหาของอุตสาหกรรมเหล็กไทยที่ประสบพบเจอ
มานานแล้วแต่ไม่ได้รับการแก้ไขจากหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง...อย่างเช่น กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.)...มากระตุ้นเตือนจิตสำนึกกันอีกครั้งเพื่อว่าจะเริ่มสำเหนียกได้เสียทีว่า...สมควรจะต้องทำหน้าที่ได้แล้วในฐานะเป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจตามกฎหมาย....
เรื่องของเรื่องก็คือว่าเมื่อ 2556 มีโรงงานจากจีน ได้เข้ามาขอตั้งโรงงาน(ประเภท 3) ผลิตเหล็กเส้น...ในพื้นที่จังหวัดระยอง ด้วยเตาอินดักชั่นเฟอร์เนซ (Induction Furnace process หรือ IF) ซึ่งก็เป็นที่รู้กันทั่วโลกว่าเป็นเทคโนโลยีล้าหลังที่ประเทศจีน สั่งปิดโรงงานไปเป็น 100 โรงงาน เนื่องจากมีปัญหาในการควบคุมคุณภาพของเหล็กและก่อให้เกิดมลพิษต่อสภาพแวดล้อมสูงในหลายๆ ด้าน...!! แต่ก็ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างที่พูดตรงๆ ไม่ได้ (เดี๋ยวจะโดนฟ้อง)...ในที่สุดทางการไทยในขณะนั้นก็อนุญาตให้ตั้งโรงงานแห่งนี้ได้...โดยมีใบอนุญาตนั้นระบุว่ามีกำลังการผลิต 2 แสนตัน/ต่อปี...
จากนั้นในตั้งแต่ช่วงปี 2560 เรื่อยมาจนถึงต้นปี 2562...โรงานแห่งนี้ก็พยายามที่จะขออนุญาตจากกรมโรงงาน อุตสาหกรรมเพื่อขอขยายกำลังผลิต...โดยเพิ่มเครื่องจักรจาก 1.7 แสนแรงม้า เป็น 4.8 แสนแรงม้า (ในปี’62) เพิ่มกำลังการผลิตจาก 2 แสนตัน เป็นเกือบ 1 ล้านตันต่อปี...
ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า...ในขณะที่ยังถือใบอนุญาตอยู่ที่ 2 แสนตันต่อปี เพราะใบอนุญาตขยายกำลังผลิตที่ 9 แสนตันต่อปี ยังไม่ได้รับการอนุมัติ....โรงงานแห่งนี้ก็ผลิตเหล็กเส้นเกินกว่าใบอนุญาตที่มีคือผลิตจริงออกมาเกือบล้านตัน...ซึ่งขายในราคาที่ต่ำกว่าผู้ผลิตรายอื่นในประเทศ...เนื่องจากโรงงานแห่งนี้ผลิตจากเตา IF ซึ่งต้นทุนต่ำกว่าผู้ผลิตรายอื่นของไทยที่ใช้เตาหลอมแบบ EF (Electrical Arc Furnace process)…ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสูงกว่า (ที่ทั่วโลกใช้อยู่) ซึ่งคุณภาพเหล็กที่ได้สูงกว่าและเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมต่ำกว่า...จึงทำให้มีต้นทุนที่สูงกว่าตาหลอมแบบ IF
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่แอบเพิ่มกำลังการผลิต...อีกด้านหนึ่งบริษัทที่ว่านี้ก็ได้ทำประชาพิจารณ์เพื่อจัดทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ในกรณีที่จะเกิดขึ้นจากการเพิ่มกำลังการผลิต จาก 1.7 แสนแรงม้าเป็น 4.8 แสนแรงม้า…!! แต่ว่าในการทำประชาพิจารณ์ก็มีข้อสังเกตและข้อสงสัย...จาก สมาคมการค้าเหล็กทรงยาวมาตรฐาน…หลายประการ...อาทิ 1.ไม่มีการระบุเรื่องของระบบการจัดการฝุ่นที่ไม่เพียงพอลงไปในเอกสาร hearing ขณะที่กำลังจะเพิ่มอัตราการผลิตเป็น 7 เท่า ของปริมาณปัจจุบัน เพิ่มเตา EAF และ IF…2.ไม่มีการกำหนดเรื่องการเก็บ และการรับมือ slag จากเตา EAF ใหม่ ก่อนนำไปส่งไปที่กำจัดของเสีย 3.อัตรากำลังการผลิตใหม่จะใช้ scrap เพิ่มสูงเป็น 7 เท่า จากของเดิม อย่างไรก็ตาม ในเอกสาร hearing ก็ไม่มีการระบุเรื่องสถานที่เก็บ scrap ไม่มีข้อมูลการบำบัดน้ำเสีย บ่อเก็บน้ำ และปริมาณฝุ่นที่เพิ่มขึ้น4.ไม่มีข้อมูล rain pond ก่อนปล่อยน้ำเสียลงสู่ชุมชน ซึ่งตามข้อกำหนดจะต้องมีการกักเก็บอย่างน้อย 3 ชม. 5.ไม่มีกำหนดบ่อพักน้ำฉุกเฉิน....
เมื่อทาง สมาคมการค้าเหล็กทรงยาวมาตรฐาน...พบสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลและเกิดข้อวิตกกังวลว่าจะเกิดผลเสียต่อประเทศโดยรวม...ก็ได้ดำเนินการนำเรื่องร้องเรียนต่อ.....อธิบดีกรมโรงงาน และเลขาธิการสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม...ในเดือนมกราคม 2562...มองเห็นปัญหาชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากมีการผลิตเหล็กเส้นที่ไม่ได้มาตรฐานและกระทบสิ่งแวดล้อมมาเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังกระทบต่อธุรกิจผู้ผลิตเหล็กที่ปฏิบัติตามกฎหมาย...
หมุนตามทุน...เรื่องของโรงานเจ้าปัญหานี้ไม่ได้เพิ่งเกิดมาเป็นประเด็นวันสองวันนี้...มีการร้องเรียนกันมาหลายครั้งแล้ว ทั้งในเรื่องการตรวจสอบคุณภาพของเหล็ก การตรวจสอบปริมาณการผลิตที่ไม่ตรงกับใบอนุญาต...ซึ่งก็น่าหดหู่เข้าไปอีกเมื่อว่า...เจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งกรมโรงงานอุตสาหกรรม ทั้ง สมอ....ก็ทำไปอย่างเสียมิได้...ไม่จริงจังเข้มงวดกับการตรวจสอบ...ขนาดที่ว่าเดินทางไปตรวจสอบในวันที่เขาหยุดผลิต...!! แล้วมันจะไปเจออะไร??? เมื่อไปในวันนั้น...
แล้วครั้งนี้ทางสมาคมก็ไปร้องเรียนตั้งแต่ต้นปี...แต่จนถึงบัดนี้ (เกือบจะครึ่งปีมาแล้ว)...ทั้งกรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม...ก็ยังไม่มีคำตอบใดๆออกมาเลย...!! ทั้งที่ตามกฎหมายแล้ว...ทั้งสองหน่วยงานนี้...จำเป็นต้อง...ตรวจสอบและให้คำแนะนำ ให้เป็นไปตามหลัก EIA เรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และผลประโยชน์สาธารณะ รวมทั้งกำกับดูแลปริมาณการผลิตปัจจุบันของบริษัทรายนี้ และควบคุมการขยายอัตราการผลิตไม่ให้เกินกว่าตามที่ใบอนุญาตกำหนด (ต้อง 2 แสนตัน ไม่ใช่ 9 แสนตัน) ซึ่งจะก่อให้เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ…
!! หมุนตามทุน..สงสัยเหตุใดยังใส่เกียร์ว่างกันอยู่อีก....หรือคิดว่าอีกไม่นานจะไม่มี ม. 44 แล้วก็เลยชิลๆ กันไปได้....พวกท่านลืมแล้วหรือว่ายังมี ม.157 อยู่นะครับท่าน...!! เดี๋ยวนี้กรรมมันติดจรวดนะครับ...แล้วจะหาว่าหล่อไม่เตือน...nn
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี